เอกสาร รายงานการศึกษา โครงการวิจัยเพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการวิจัยและพัฒนา ภายใต้สำนักบริหารโครงการส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษาและพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ(๒๕๖๐) นำสู่ข้อสะท้อนคิดนี้
ข้อเรียนรู้แรกคือ โครงการมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ที่เริ่มต้นสนับสนุนทุนวิจัย ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ และดำเนินการเรื่อยมา จนถึงปี ๒๕๖๒ ผมมองว่าเป็นโครงการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบของอุดมศึกษาไทยที่มีค่ายิ่ง ที่นำสู่การยอมรับว่า สถาบันอุดมศึกษามีจุดเน้นได้หลายแบบ มีความเป็นเลิศได้ทุกแบบ มหาวิทยาลัยวิจัยเป็นเพียง ๑ แบบ แต่เมื่ออ่านข้อมูลของมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติในวิกิพีเดีย (๑) แล้ว ผมก็เกิดความเสียดาย ว่าสังคมไทยได้เรียนรู้จากโครงการนี้น้อยไป คือไม่มีการจัดการความรู้ที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้อย่างเป็นระบบ หากจะมีการดำเนินการโครงการทำนองนี้อีก ผมเสนอให้มีการลงทุนทำโครงการประเมินเชิงพูนพลังเพื่อพัฒนา (Developmental Evaluation – DE) ควบคู่ไปด้วยกัน และให้มีการบันทึกความรู้ด้านการบริหารโครงการ ไว้เป็นทุนปัญญาของสังคม
ผมเขียนบันทึกเรื่องราวของโครงการมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จากคำบอกเล่าของ ศ. ดร. วิชัย บุญแสง ไว้ที่ (๑)
ข้อเรียนรู้ที่ ๒ คือ โครงการทำนองนี้ต้องการผู้บริหารที่มีทักษะพิเศษ โชคดีที่ได้ ศ. ดร. วิชัย บุญแสง ที่มีประสบการณ์เรียนรู้ จากการบริหารงานวิจัยเชิงวิชาการที่ สกว. มาเป็นผู้อำนวยการโครงการ ข้อสะท้อนคิดของผมคือ สังคมไทย (โดยเฉพาะราชการไทย) ไม่ได้เอาใจใส่พัฒนาผู้บริหารงานวิชาการ และงานวิจัยและนวัตกรรมอย่างจริงจัง เพิ่งมาเริ่มดำเนินการพัฒนาอย่างเป็นระบบ เมื่อ สกสว. ทำหน้าที่นี้เมื่อสองสามปีมานี้เอง
ข้อเรียนรู้ที่ ๓ เกี่ยวข้องกับความคุ้มค่าของการลงทุนวิจัย ที่เอกสาร โครงการวิจัยเพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการวิจัยและพัฒนา ภายใต้สำนักบริหารโครงการส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษาและพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ บอกเราชัดเจนว่า การลงทุนวิจัย (และนวัตกรรม) หากมีการจัดการอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา มีความคุ้มค่าทั้งสิ้น ดังในบทสรุปของรายงาน ระบุว่า โครงการที่ผลได้ต่อทุนสูงสุด มีค่าถึงเกือบ ๑,๒๐๐ เท่า
การจัดการการลงทุนวิจัยและนวัตกรรมเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ รวมทั้งเป็นคุณธรรมด้วย คือต้องไม่เอาเงินไปสนองเป้าหมายอื่น ในประเทศไทย คนที่ได้รับผิดชอบดูแลเงิน มีความยากลำบากตรงที่มักมีคนที่มีอำนาจเข้ามาล้วง จึงต้องมีทักษะในการทำเป็นไม่เข้าใจสัญญาณนั้น อย่างที่ผมทำอย่างสุจริตใจ (แปลว่าซื่อบื้อ) เมื่อ ๓๑ ปีก่อน
วิจารณ์ พานิช
๒ ม.ค. ๖๗
Wouldn’t we love ‘evidence-based assessment of return-for-investment’ methodologies at least a best-practice guidelines on a well-defined set of key indicators.
And shouldn’t we be mindful of the ‘sin of taking the indicators to be the goal’?