ดังเล่าใน ตอนที่ ๒๒๖ ว่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ร่วมกับ กสศ., มูลนิธิสยามกัมมาจล และภาคีอื่นๆ ร่วมกันจัดกิจกรรม ฟอรั่มการจัดการความรู้ ครั้งที่ 2 ภาคใต้ “ร่วมเปลี่ยนการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน”วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2566 เวลา 09.00-15.30 น. ณ ห้อง Conference Hall ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ตอนบ่ายผมเข้าห้องย่อยที่ 6 : ห้องเรียนสาธิต ถอดรหัสการจัดการเรียนรู้เชิงรุกด้วยโครงงานฐานวิจัย ที่ผสานการบ่มเพาะคุณธรรมและการรู้จักตนเองด้วยการสอนแบบ 4 ขั้น เสนอโดยทีมงานผสมหลายหน่วย คือนักเรียนชั้นประถม ๑๒ คน มาจากโรงเรียนบ้านปากบาง อ. จะนะ จ. สงขลา แปลกที่เป็นนักเรียนหญิงล้วน ครูผู้สาธิตการสอน ๔ คน มาจาก โรงเรียนบ้านบ่อเตย สพป. สงขลา เขต ๓ จำนวน ๑ คน และอีก ๓ หนึ่งมาจากโรงเรียนบ้านปากบาง ผู้ดำเนินการกระบวนการมาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ๒ คน และผู้สังเกตชั้นเรียน ๒ คน เป็นอาจารย์เกษียณอายุจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เห็นความสามารถของครูในการออกแบบการเรียนรู้เชิงรุกที่ทรงพลังยิ่ง
นี่คือการสาธิตการเรียนรู้บูรณาการ เพื่อให้นักเรียนพัฒนาสมรรถนะเชิงซ้อนหลายด้านใส่ตัว ที่เรียกว่า การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) โดยผู้จัดมีคำอธิบายแนวความคิดไว้ที่ (๑) (ลิ้งค์ไปยังไฟล์ โครงงานฐานวิจัย) จะเห็นว่า กระบวนการนี้จะกระตุ้นการพัฒนาแบบองค์รวม คือ สมอง จิตใจ และร่างกาย ผมพิศวงที่ได้เห็นนักเรียนชั้นประถมปลาย ๑๒ คน มีสมาธิอยู่กับกิจกรรม ๓ ชั่วโมงโดยไม่วอกแวกเลย
ตอนนั่งสังเกตการณ์การสาธิตการสอน ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าเขากำลังทำอะไร แต่เมื่อ อ. นิตยา สงนวล กับ รศ. ดร. วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม ที่เป็นทีมผู้สังเกตชั้นเรียน ร่วมกันอธิบายและให้ข้อแนะนำจากการสังเกตชั้นเรียน ผมจึงเข้าใจมากขึ้น และเมื่อกลับมาบ้าน อ่านเอกสาร (๑) ทบทวนอีก จึงเข้าใจว่า เป็นการสาธิตการสอน ในรูปแบบที่ทีมงานของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์คิดค้นทดลองมา ๔ - ๕ ปี ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง ผมบอกคุณยุ้ยที่เป็นทีมมูลนิธิสยามกัมมาจลว่า เรื่องนี้เหมาะที่จะนำเสนอในมหกรรมคุณภาพการศึกษาแห่งชาติในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๗ แต่ต้องมีการวิจัยประเมินผลต่อตัวเด็กก่อน ว่าเด็กได้รับการพัฒนาด้านใดบ้าง ในระดับไหน หากเห็นผลกระทบต่อด็กชัด จึงจะเชิญมาเสนอในงานมหกรรมฯ
การวิจัยในโครงงานฐานวิจัยที่ทีม มอ. พัฒนาขึ้น เป็นการวิจัยโจทย์ที่มาจากชุมชน นอกจากเป็นโจทย์จากเรื่องจริงในชีวิตจริง ที่ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้แบบ “เรียนจากสถานการณ์จรอง” (authentic learning) แล้ว เมื่อนักเรียนทำเสร็จก็มีการนำเสนอต่อชุมชน วิธีจัดการเรียนรู้นี้จึงเป็นเครื่องมือเชื่อมโยง (engage) โรงเรียนกับชุมชน ให้คนในชุมชนเข้ามามีบทบาทต่อการจัดการเรียนรู้(เชิงรุก)ของโรงเรียน ได้ให้คำแนะนำสำหรับปรับปรุงการดำเนินงานรอบต่อไป เป้นการร่วมกันสร้าง growth mindset ขึ้นในระบบการศึกษาของชุมชน
Community engagement เกิดสามรอบ คือรอบที่นักเรียนไปหาข้อมูลในชุมชน รอบที่นักเรียนทำวิจัย ต้องไปทำวิจัยในพื้นที่และสถานการณ์จริง และรอบนำเสนอผลงานต่อชุมชน
ครูและผู้เข้าร่วมเรียนรู้ในห้องย่อยที่ ๖ นี้ เกิดการเรียนรู้และเข้าใจความสำคัญของแต่ละขั้นตอนของการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ และเอื้อกระบวนการเรียนรู้โดยครู ที่ อ. นิตยา กับ รศ. ดร. วิลาวัลย์ ช่วยกันอธิบาย เป็นช่วงที่มีค่ายิ่ง โดยเฉพาะตอนที่ท่านบอกว่า ครูต้องมั่นใจและไว้วางใจเด็ก ว่าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
ยิ่งได้ฟังคำอธิบายของ ผอ. รร. บ้านปากบาง ดร. ศกลวรรณ สุขมี อธิบายวิธีที่โรงเรียนบริหารจัดการการเรียนรู้โครงงานฐานวิจัย ของโรงเรียน เชื่อมโยงสู่ความร่วมมือกับชุมชน ที่ประเด็นสำคัญที่สุดทีท่านเล่าคือการทำความตกลงกับปราชญ์ชุมชนว่า เมื่อนักเรียนไปขอความรู้อย่าสอน อย่าบอก ให้รอนักเรียนตั้งคำถาม แล้วจึงตอบคำถาม สะท้อน ๒ ประเด็นสำคัญคือ (๑) ผอ. โรงเรียนทำงานเชื่อมโยงชุมชน (๒) ผอ. ดร. ศกลวรรณ เข้าใจเรื่อง active learning ในมิติที่ลึกมาก
ผมขาดโอกาสฟัง รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ให้ข้อสังเกต เพราะผมต้องออกเดินทางไปสนามบินเพื่อนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพ ได้ยินประโยคแรกประโยคเดียว ที่ท่านชมว่าเป็นการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ละเอียดประณีตมาก
ผมคิดต่อว่า หากครูหนุนการคิดโจทย์วิจัยที่ ตรงกับ “จุดเจ็บปวด” (pain point) ของชุมชน และนำสู่การแก้ปัญหานั้น แม้เพียงบางส่วน กระบวนการเรียนรู้นี้ ก็จะเป็น “การเรียนรู้แนวบริการชุมชน” (service learning) ที่นักเรียนได้สร้างค่านิยม และเจตคติทำเพื่อส่วนรวม ให้แก่ตนเอง
การเรียนรู้แบบนี้ จะเกิดผลต่อนักเรียนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับความสามารถของครู ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้แก่ศิษย์ได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด ยิ่งนำเอา “การสังเกตชั้นเรียน” (Lesson Study) เข้าไปเสริม โดยเน้นสังเกตที่พฤติกรรมของนักเรียนตามที่เสนอไว้ในหนังสือ โรงเรียนเป็นชุมชนเรียนรู้ ยิ่งนำสู่การเรียนรู้และพัฒนาครูที่มีพลังยิ่ง
การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า การเรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิด (reflective learning) หรือการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (experiential learning) เพื่อให้ตนเองเข้าใจหลักการและวิธีการของ การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ ขอแนะนำให้ครูเข้าไปอ่านบันทึกชุด เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครูต้องเข้าใจหลักการและวิธีใช้ Kolb’s Experiential Learning Cycle ซึ่งเน้นที่การสังเกตกิจกรรมแล้วสะท้อนคิดสู่การตกผลึกสร้างหลักการหรือทฤษฎีด้วยตนเอง ร่วมกับเพื่อนครู และนำไปฝึกให้ศิษย์ทำเป็น จนเป็นนิสัยในการดำรงชีวิต
ขอเชิญชวนให้ครูทุกคน เข้าไปอ่านเอกสาร (๑) เพื่อทำความเข้าใจวิธีจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยการวิจัยชุมชน ตามแนวทางของทีมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์นี้
หัวข้อของการสาธิตการสอน มีเป้าหมายการบ่มเพาะคุณธรรม และการรู้จักตนเอง ที่ในการสอนสาธิตผมไม่เห็นหรือเห็นไม่ชัด (ผมอาจพลาดเองที่ครูจัดให้นักเรียนได้เรียนรู้ แต่ผมไม่เห็น) ผมขอเน้นว่า ครูต้องมีวิธีตั้งคำถามเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้สอง ในการเรียนรู้เชิงรุกครูเน้นตั้งคำถาม เพื่อให้นักเรียนคิดหรือสะท้อนคิด เป้าหมายทั้งสองมีความสำคัญมากต่อนักเรียน และท้าทายมากสำหรับครูในการตั้งคำถามเพื่อช่วยให้ศิษย์บรรลุผลดังกล่าว
สรุปว่า ในการเรียนรู้เชิงรุก ครูเน้นทำหน้าที่ตั้งคำถาม ไม่ใช่บอกคำตอบ และนักเรียนฝึกตั้งคำถาม เพื่อการเรียนรู้ของตน
วิจารณ์ พานิช
๒๕ ธ.ค. ๖๖
ไม่มีความเห็น