การดูภาพกับชีวิตสโลไลฟ์ (looking at a picture and living a slow-life)


ครบรอบวันเกิดปีนี้ (11 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา) ลูกสาว (วีนัส อัศวภูมิ) ซื้อหนังสือดีให้เล่มหนึ่ง คือ สองพันสี่ร้อยสัปดาห์: การบริหารเวลาสำหรับมรรตัย คือผู้ที่เกิดมาแล้วต้องตาย ของ Oliver Burkeman ซึ่่งนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง แต่ที่อยากนำมาเขียนถึงเป็นเรื่องแรกคือ ‘กิจกรรมดูภาพ 3 ชั่วโมง’ อย่างมีจุดหมายคือการหยุดชีวิตที่รีบเร่งให้ช้าลง ซึ่งเหมาะในการปรับใช้กับวิถีชีวิตที่รีบเร่งของคนเราในปัจจุบันนี้มากเลยครับ 

เรื่องของเรื่องคือ Burkeman กล่าวถึงกิจกรรมที่ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาที่มหาวิทยาฮาร์วาร์ดชื่อ Jennifer Roberts นำใช้ในการฝึกนักศึกษาของเขาคือ ให้นักศึกษาเลือกภาพ หรือสถาปัตยกรรมอะไรก็ได้มานั่งดูต่อเนื่อง 3 ชั่วโมง โดยไม่ทำกิจกรรมอื่น เช่น ไม่รับโทรศัพท์ ไม่เช็คไลน์ ไม่ตอบอีไมล์ ไม่คุยกับใคร ยกเว้นไปห้องน้ำ (ถ้าจำเป็น) แล้วสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น 

 และก่อนนำเรื่องนี้มาเขียน Burkeman ก็ไปพบ Roberts และทดลองทำกิจกรรมด้วยตัวเอง ผมก็แว้ปความคิดว่าจะยังไม่อ่านว่าเขามีประสบการณ์อย่างไร เพราะอยากทดลองกับตนเองก่อน แล้วเมื่อวานก็ได้จังหวะทดลองทำกิจกรรมครับ เริ่มจาก 12.30 น. ถึง 15.30 น. 

ถ้าท่านจะทดลองทำกิจกรรมนี้ด้วยตนเองด้วยนั้น ยังไม่ควรอ่านว่าผลที่เกิดขึ้นกับผมคืออะไรนะครับ และทำลองแล้วได้ประสบการณ์อย่างไร เขียนเล่าให้ฟังด้วย 

อีกอย่างวันก่อนผมได้พบลูกศิษย์ที่โคราช (ดร. กำเพลิง) ผมเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง และฝากให้เขาทดลองดู แล้วจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง ส่วนประสบการณ์ของผมเป็นดังนี้ครับ

หลังจากเริ่มกิจกรรมได้สักประมาณ 4-5 นาที ผมก็ผลอยหลับไปทั้งๆ ที่ยังนั่งดูภาพอยู่ ผมใช้ภาพนี้ครับ ซึ่งผมได้มาจากเวียตนามเมื่อหลายปีก่อนนั้นครับ

ตื่นอีกที และเหลือบดูนาฬิกาเป็นเวลา 12.40 น. แปลว่างีบหลับไปประมาณ 4-5 นาที หลังจากนั้นก็พยายามดูภาพอย่างตั้งใจเพื่อไม่ให้หลับอีก แต่แล้วก็ไม่รู้ผลอยหลับไปอีกแต่เมื่อใหร่ และไม่รู้ว่าหลับไปกี่นาที ตื่นอีกทีเวลาเกือบ 14.00 น. 

หลังจากงีบหลับไปสองครั้งก็รู้สึกว่าสดซื่นขึ้นมาก ก็เริ่มดูภาพใหม่อีกครั้ง ไม่รู้ตอนที่ Burkeman ทดลองทำกิจกรรม เขาจะงีบหลับเหมือนผมไหม และหลับแล้วทำกิจกรรมต่อไปได้หรือไม่ เดียวกับไปอ่านดูอีกครั้ง 

หลังจากดูภาพต่อไปอีกประมาณ 9 นาที เริ่มสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นในภาพมาก่อนคือ เริ่มเห็นว่า ‘มีนกชนิดอื่นที่เกาะอยู่บนกิ่งไว้อีกตัว’ ซึ่งแปลกใจมากๆ ก็เลยดูรายละเอียดของภาพต่อไป และไม่รู้ว่าดูต่อไปนานเท่าไหรจึงเห็นภาพน้ำตกซ่อนอยู่ในป่า ทางด้านซ้ายมือของเรา หรือด้านขวามือของภาพอีก 

และหลังจากนั้นก็เริ่มสังเกตุเห็นว่านักกระสาที่บินอยู่จะคอยาวกว่านกกยืนอยู่บนบก หรือยืนอยู่ในน้ำ โดยเฉพาะตัวที่บินอยู่กลางแม่น้ำ  และก็พบว่าเส้นตัดภูเขาที่อยู่ไกลออกไปทับตัวภูเขาที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งควรซ่อนอยู่หลังภูเขาด้านหน้า 

หลังจากนั้นก็พบว่าขานกกระสาอยู่ก้นนก ไม่ใช่กลางลำตัว ซึ่่งจริงๆ มันควรอยู่แบบนั้น หรือว่าอยู่กลางตัวนกกระสา  

และแล้วจู่ๆ ก็เริ่มเห็นว่าลำต้น และกิ่งไม้ของต้นไม้ทับอยู่บนไบไม้ แทนที่จะซ่อนอยู่หลังใบไม้  และสุดท้ายก็สังเกตุเห็นว่าเงาสะท้อนในน้ำไม่สะท้อนภาพตามความเป็นจริงหลายที่ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอะไรผิดสังเกตุอีก

เหลือบดูเวลาตอนนี้ประมาณสามโมงกว่านิดๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าเวลาแต่ละนาทีมันเดินไปใช้มาก และเริ่มรู้สึกเบื่อกิจกรรม และเริ่มจะง่วงนอนอีกครั้ง แต่พยายามฝืนตัวเองไม่ให้หลับ

แล้วจิตแว้ปไปคิดเรื่องที่จะเป็นกรรมการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ของลูกศิษย์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งก็คือวันนี้ แต่ต้องรีบบอกตัวเองว่ากำลังทำกิจกรรมดูภาพอยู่ ไม่ควรคิดเรื่องอื่น 

ทันทีที่ห้ามตัวเองไม่ให้คิดเรื่องอื่น แต่เรื่องอื่นๆ ก็เริ่มผุดขึ้นมาอีก เลยต้องขยับเข้าไปดูภาพใกล้ๆ มากขึ้นเพื่อดึงความสนใจไปที่ภาพ 

ขณะที่กำลังต่อสู้กับความรู้สึกดังกล่าว ระฆังหมดยกก็ช่วยไว้พอดี คือ นาฬิกาจับเวลาดังขึ้น 15.30 น. ครับ 

นอกจากประสบการณ์ที่เล่ามาข้างต้น ผมได้บทสรุปสองข้อคือ (1) เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งทำอะไรแบบนี้ได้ 3 ชั่วโมง แล้วจะงีบหลับไปสองครั้งก็ตาม และหลังจากกิจกรรมแล้วรู้สึกแปลกใจตนเอง ต้องเฝ้าดูตัวเองต่อสักวันสองวัน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ชีวิตข้าลงไหม และ (2) ผมพบว่าถ้าเรามีเวลาอยู่กับอะไรสักอย่างนานพอสมควร และใส่ใจอย่างจริงจังเราจะสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้ แม้จะเป็นเรื่องที่คุ้นชินแล้วก็ตาม 

อย่างไรก็ตามหลังจากได้ฟังประสบการณ์ของ ดร. กำเพลิงแล้ว และอ่านประสบการณ์ของ  Burkeman แล้วจะเขียนอีกครั้งครับ 

ขอบคุณที่อ่านครับ 

สมาน อัศวภูมิ 

12/11/2566

 

หมายเหตุ หลังเขียนเสร็จ ก็เตรียมตัวจะไปสอบนักศึกษา พบว่าช่วงเวลา 3 ชั่วโมงที่นั่งดูภาพอยู่นั้น มีโทรศัพท์เข้ามา 9 สาย และยังไม่โทรกลับ เพราะหลังกิจกรรมดูภาพ ก็เตรียมตัวเข้ามานอนในตัวเมือง และตอนอยู่ในเมืองก็มีกิจกรรมที่ต้องทำกับหลานๆ เลยๆ ไม่ได้เช็คโทรศัพท์ครับ 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 716127เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2023 05:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2023 06:27 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เป็นกิจกรรมที่ดีมาก เหมือนกิจกรรมที่อยู่กับตัวเองทุกขณะนะครับ

ขอบคุณครับ หลังจาก ลูกศิษย์ที่ผมให้ทดลองเรื่องนี้ได้แขร์ข้อมูลมาผมจะเขียนอีกครั้งครับ และหากท่านได้ทดลองทำดูแล้วได้ผลอย่างไร เล่าให้ฟังด้วยครับ ขอบคุณครับ

ผมเจอกับประสบการณ์คล้ายกันนั้น เลยเอามาเล่าให้ฟังครับThe Big Waveคลื่นสึนามิผมเชื่อว่าทุกคน(หรือส่วนมากก็แล้วกัน) คงจะรู้จักรูปคลื่นยักษ์หรือ the big wave ซึ่งต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของสึนามิไปโดยพฤตินัย แต่วันนี้เองไม่รู้ว่าเกิด”คัน”อะไรขึ้นมา ผมมองภาพแล้วในจอมอนิเตอร์เห็นมีอะไรอยู่ใต้คลื่นยักษ์ปรากฏอยู่ในภาพ มันไม่ใช่ของใหม่ที่ใครเอาไปใส่ไว้ในภาพเก่า มันคือสิ่งที่มีอยู่แล้วในภาพนี้แหละ แต่ผมไม่เคยได้มองมันอย่างละเอียดเช่นนี้มาก่อนเอง ครั้นเมื่อนำภาพมาขยายจนเห็นได้ชัดเจน ก็ปรากฏเป็นเรือบรรทุกสินค้า ประเภทเกษตร (ที่จริงเห็นอยู่เพียงหนึ่งลำ และเห็นแค่บางส่วนของเรือ) เป็นแบบกระสอบน้ำตาลหรือถุงใส่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร วางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบและมีฟางข้าวเสียบกั้นแบบกระแชงไว้กันน้ำกระเซ็นจากทะเล อีกสองลำคลุมด้านบนทั้งหมดจึงมองไม่เห็นตัวสินค้าว่าจะเป็นอะไร และบนเรือทั้งสามลำในแต่ละลำยังมีคนบนเรือนับสิบ ๆ คน ที่บางลำน่าจะใช่ลักษณะของชาวประมง แต่บางลำอาจเป็นคนงานหรือกุลีสำหรับนำสินค้าขึ้นลงจากเรือเป็นลูกเรือไปในตัว และเมื่อคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำเรือ ตอนนั้นเสากระโดงเรือและผ้าที่สำหรับดึงขึ้นไปรับลมให้พาเรือไปในทิศทางที่ต้องการ บัดนี้ได้ถูกดึงลงมาพับเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขา(ที่น่าจะเป็นชาวประมง)จึงนอนหมอบราบบนพื้นเรือเป็นส่วนใหญ่ และนอนทับไปบนพื้นเรือที่มีส่วนของเชือกอวนวางอยู่ให้ปรากฏ ส่วนลำที่บรรทุกสินค้าจะไปขายจะเห็นคนนั่งในซอกที่กั้นไว้สำหรับคนนั่ง ลักษณะชันเข่าเอามือสองข้างสอดไว้ด้วยกัน ส่วนศีรษะก้มหน้าซุกไว้ เหมือนกับเตรียมตัวเตรียมใจพร้อม ออมกำลังไว้ก่อน …ต่อไปจะเป็นอะไรเป็นกัน…และไม่กล้ายืนเก้ ๆ กัง ๆ บนขาสองข้างที่ไม่น่าจะยืนหยัดได้นาน สำหรับเรือที่กำลังแกว่งไกวอย่างไม่เป็นจังหวะและคนที่ไม่มีอาชีพอยู่กับเรือโดยตรง … ในบางส่วนจะเห็นคลื่นยักษ์กระจายกงเล็บ… ราวกับกงเล็บแห่งปีศาจไว้ทั่วไปหมด ดูน่ากลัวแม้จะเป็นสีขาวแบบฟองคลื่นของน้ำทะเลสีน้ำเงิน และมีฟองคลื่นเป็นเม็ดละอองน้ำสีขาวกระจายทั่วไปทั้งบนเรือ ในน้ำ และในอากาศ เสียงหวีดหวิวทั่วท้องทะเลคงอื้ออึง จนทำให้คนในทุกลำเรือเตรียมตัวสำหรับการเผชิญหน้ากับมันตามแนวทางของแต่ละลำเรือ และไม่ได้ยินเสียงมนุษย์อีกเลย

สิ่งที่แปลก… แม้จะเคยรู้มาก่อนแล้วว่าคนญี่ปุ่นกับคนจีนไม่ต่างกัน…ที่จะต้องอ่านหนังสือจากขวามาซ้าย ตรงข้ามกับเรา แต่กับภาพไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้เลย แต่ผมก็ต้องจำนนต่อผู้รู้ในเรื่องแบบนี้ ที่เขาอธิบายว่าในการเสนอภาพที่สามารถสร้าง perspective ได้จะช่วยทำให้ภาพดูได้ลึก แต่กับ ภาพ the Big Wave ที่เจ้าของภาพได้นำเสนอภาพในลักษณะที่ต้องมาจากขวาก่อนซ้ายเป็นหลักการ มากกว่า perspective อาทิ ลูกคลื่นจะโผล่มาจากทางขวาก่อนแล้วจึงม้วนมาเป็นคลื่นลูกใหญ่เมื่อมาทางซ้าย(?) และระลอกคลื่นจะเคลื่อนย้ายจากขวาก่อนจะไปซ้ายด้วยปลายคลื่น…และเรือที่แสดงให้เห็นแนวคลื่นนั้นด้วยเช่นกัน (บันทึกหลายครั้งตามข้อมูลที่ได้รับเพิ่มหลายครั้ง 15.30 น. วันที่ 2 มกราคม 2567)ป.ล. มีความรู้สึกว่า ผมที่เป็นคนถนัดขวา ถ้าเขียนรูปจากขวามือลากยาวไปทางซ้ายมือ จะดีกว่าเพราะไม่มีอะไรบังภาพส่วนหนึ่งไว้ …มือขวาที่เขียนภาพนั่นแหละเป็นตัวบังถ้าเขียนรูปจากทางซ้ายไปขวา ไม่เชื่อก็ลองดูเองก็แล้วกันนะครับ
ป.ล. นำรูปมาลงด้วย แต่ไม่ได้ภาพขึ้นมาครับ ไม่ทราบเพราะเหตุใด

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท