บรรยากาศในโรงเรียน ในช่วงฤดูฝนของต้นปีการศึกษา จะมองดูเขียวครึ้ม สงบ ร่มรื่น เพราะต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขาอย่างร่าเริงเบิกบานรับลมเย็นๆ ที่มักจะพาฝนมาตกในช่วงบ่ายๆ ใบไม้ไม่มีการร่วงหล่นแต่อย่างใด จะพบก็แต่ความเฉอะแฉะของผิวดินกับต้นหญ้าที่ขึ้นเขียวขจีเต็มไปหมด
ครูหนึ่งรู้สึกผ่อนคลายจากการเรียนการสอนไปได้บ้าง หลังจากพานักเรียนออกไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน โดยเฉพาะแปลงผักปลอดสารพิษ ลงเอยได้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง จัดวางผู้รับผิดชอบมอบหมายได้ครบทั้ง ๔ แปลง ในแต่ละแปลงก็จะหว่านเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวแตกต่างกันไป
นักเรียนชื่นชอบเพราะไม่เคยปลูกแบบนี้มาก่อน มีทั้งมะเขือ ผักบุ้ง ผักกวางตุ้งและมะเขือเทศ เพิ่มความอยากรู้อยากเห็นและความสนใจที่จะรดน้ำเพื่อรอคอยผลผลิตในอีกไม่กี่วันข้างหน้า…
ครูหนึ่งนำนักเรียนลงมือหว่านเมล็ดได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไม่ต้องไปหาซื้อเมล็ดพันธุ์ที่ตลาด ก็เพราะในโรงเรือนเกษตรกรรมของโรงเรียนนอกจากจะมีเครื่องมือเกษตรอย่างครบครันแล้ว ยังมีตู้สำหรับจัดเก็บเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัวไว้อย่างมากมาย
เมล็ดพันธุ์แต่ละชนิด เขียนชื่อติดไว้ที่ขวดโหลพลาสติกนับร้อยขวด จัดวางอยู่ในตู้ไม้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ในปริมาณที่ครูหนึ่งเห็น คิดว่าถ้าปลูกต่อเนื่องกันทั้งปีก็คงไม่หมด ส่วนคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ก็จะต้องดูกันต่อไป โดยอาศัยทักษะฝีมือของนักเรียนชั้นป.๓ และ ป.๔
ครูหนึ่งสนใจชื่อโครงการบนป้ายไวนิลที่ติดไว้ข้างตู้ อยากรู้ที่มาที่ไปของคำว่า “ ๑๐๐ เมล็ดพันธุ์ไม้" คำว่า “เมล็ดพันธุ์” ครูหนึ่งเคยได้ยินในช่วงข่าวในพระราชสำนัก เคยเห็นภาพในโครงการพระราชดำริ แต่สถานศึกษาโดยทั่วไป น่าจะยังไม่แพร่หลายมากนัก
“พ่อครับ ผมนำเมล็ดผักในตู้ไปให้นักเรียนปลูกมันจะขึ้นไหมครับ” ครูหนึ่งถาม เพื่อหาข้อมูลให้เกิดความมั่นใจ
“รับรองขึ้นแน่นอน เพราะพ่อเป็นคนคิดโครงการนี้ขึ้นมา มันก็ต้องมีคุณภาพทุกเมล็ด” พ่อพูดพร้อมกับอมยิ้ม เพราะนานๆจะได้มีโอกาสได้คุยแบบนี้บ้าง
“พ่อนำเมล็ดพืชผักมาจากไหน แล้วมันดียังไงล่ะครับ"
“พ่อกับนักเรียนช่วยกันปลูกแล้วก็ช่วยกันเก็บเมล็ดไว้ บางทีก็ขอจากผู้ปกครองบ้าง ข้อดีก็คือไม่ต้องซื้อ ปลูกกี่ครั้งก็ได้ มันเหมาะกับสภาพดินในท้องถิ่นของเราด้วยนะ ที่สำคัญถ้าเราไปซื้อเขาใช้ครั้งเดียวก็จบเก็บเมล็ดไว้ใช้ต่อไปไม่ได้” พ่ออธิบายให้ครูหนึ่งเข้าใจอย่างชัดเจน
“ถ้างั้นผมต้องทำบ้างแล้วล่ะและจะทำแปลงเกษตรเพิ่มที่ด้านหลังโรงอาหารด้วยครับพ่อ”
“ดีแล้วล่ะ แต่เวลาสอนนักเรียนปลูกผักสวนครัว ยังไงก็อย่าลืมบูรณาการเรื่องการอ่านการเขียนเข้าไปด้วยล่ะ ” “ยังไงหรือครับ” ครูหนึ่งสงสัย
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ พ่อจะให้หนังสืออ่านเพิ่มเติมสำหรับเด็ก ลูกจะได้เข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้” “ครับ”
ดึกแล้ว ครูหนึ่งนอนดูข่าวสารการศึกษาในยูทูป นอนดูไปเรื่อยๆ แต่ใจก็ยังวนเวียนถึงคำว่า “บูรณาการ”ที่พ่อพูดถึง เป็นคำที่ครูหนึ่งรู้สึกว่ายังใหม่และทันสมัยอยู่เสมอ เมื่อมาได้ยินจากพ่อซึ่งเกษียณแล้วก็ยิ่งทำให้ครูหนึ่งสนใจ หรืออาจเป็นเรื่องเดียวกันกับงานที่โรงเรียน ในฐานะครูโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ครูหนึ่งเริ่มจะคุ้นชินกับการเลือกสื่อ นวัตกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสม เกือบจะเรียกได้ว่าบูรณาการอย่างไม่รู้ตัวอยู่แล้ว
ครูหนึ่งกำลังจะขับรถออกจากบ้าน พ่อเดินมายื่นหนังสือให้ที่รถ ชื่อหนังสือ"ปลูกผักที่หนองผือ" รูปเล่มกระทัดรัด เป็นหนังสือทำมือที่มีภาพสี และเขียนตัวหนังสือด้วยปากกา
“พ่อเขียนเอง ลูกจะใช้จัดกิจกรรมยังไงก็แล้วแต่ลูกเถอะ”
“ขอบคุณครับ”
ตลอดทั้งวัน ครูหนึ่งวิ่งวนอยู่กับการสอน สลับห้องกันไปมา โดยใช้การสอนทางไกลผ่านดาวเทียม บางครั้งก็ต้องอธิบายซ้ำถ้านักเรียนไม่เข้าใจหรือเรียนไม่ทัน สิ่งสำคัญจะต้องสร้างวินัยในห้องเรียนอยู่เสมอ มิฉะนั้นนักเรียนที่เรียนรวมกันจะส่งเสียงดังมากเกินไป จะรบกวนซึ่งกันและกัน
ชั่วโมงสุดท้าย ก่อนที่ครูหนึ่งจะนำนักเรียนไปรดน้ำแปลงผัก ครูหนึ่งนำนักเรียนไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ตอนแรกจะถิอโอกาสสำรวจห้องสมุดเป็นครั้งแรก แต่ไม่ทันที่จะเดินดูหนังสือบนชั้นวาง ได้แต่ให้นักเรียนค้นหาหนังสือที่ถูกใจมาอ่านที่โต๊ะ ส่วนครูหนึ่งอ่านหนังสือที่พ่อให้มาเมื่อตอนเช้า
ครูหนึ่งตั้งใจจะอ่านให้จบอย่างรวดเร็ว แต่พอเปิดเนื้อหาที่เป็นบทร้อยกรอง ก็ต้องเปลี่ยนใจมาอ่านอย่างช้าๆอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเกษตรที่ครูหนึ่งกำลังสนใจอยู่พอดี
“ปลูกผักที่หนองผือ” เป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติม เขียนเป็นบทร้อยกรองมีภาพสีประกอบเรื่อง ครูหนึ่งกำลังอ่านและใช้จินตนาการไปทีละหน้า…ในทุกหน้าจะมี ๑ บท หรือ ๔ วรรค ไปจนถึงหน้าสุดท้าย บทร้อยกรองมีใจความว่า…
“จับจ้องมองหนองผือ แท้จริงคือโรงเรียนเล็ก แน่นักรู้จักเด็ก รายบุคคลน่าสนใจ เมื่อรู้จึงเร่งรัด ที่ข้องขัดจัดแก้ไข อ่านเขียนเรียนรู้ไว คำนวณได้ฝักใฝ่ธรรม อาคารสะอาดเอี่ยม ห้องเรียนเยี่ยมสวยเลิศล้ำ ต้นไม้ได้หนุนนำ มองสระน้ำชื่นฉ่ำเย็น โคกสูงที่ริมสระ ไม่เลยละจับประเด็น คิดย้ำต้องทำเป็น จึงมุ่งเน้นเกษตรกรรม ”
“เริ่มงานจัดทำแปลง ด้วยเรี่ยวแรงหลายคนทำ นักการงานหนุนนำ ออกแบบสวยและสร้างสรรค์ นักเรียนลงไปด้วย เอื้ออำนวยช่วยงานกัน จวนจบเสร็จครบครัน ได้แปลงผักน่ารักจัง เดินต่อท่อส่งน้ำ ให้ชุ่มฉ่ำน้ำไม่ขัง เสร็จแน่แต่ก็ยัง ต้องเตรียมดินสักหนึ่งแปลง ”
“ดินดีในท้องนา ปุ๋ยหมักหาอย่าแชเชือน มูลไก่ให้ลืมเลือน แต่มูลวัวคลุกทั่วแปลง คุณครูคอยช่วยเหลือ เด็กไม่เบื่อไม่หมดแรง รู้เรียนเพียรขันแข็ง ครูจัดแบ่งแปลงเพียงพอ เกษตรเพื่อชีวิต ผลสัมฤทธิ์เร่งถักทอ พื้นฐานงานเกิดก่อ พอเพียงได้แต่วัยเยาว์”
คืองานเขียนที่ทำให้ครูหนึ่งเข้าถึงคำว่า"บูรณาการ"อย่างแจ่มชัด วรรณกรรมทำมือแบบง่ายๆ ทำให้ครูหนึ่งรู้ว่าพ่อได้ทำอะไรไว้ให้โรงเรียนแห่งนี้ พ่อใช้ภาษาสอนหนังสือจากเรื่องราวและกิจกรรมที่นักเรียนทำจริงๆ
ครูหนึ่งได้เห็นความเป็นมาของแปลงเกษตรปลอดสารพิษ หรือเกษตรอินทรีย์วิถีแห่งความพอเพียง ที่ครูหนึ่งกำลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักเรียน สิ่งที่ครูหนึ่งมองเห็นและจะต้องเร่งทำให้กิดขึ้นโดยเร็วก็คือการอ่านและการเขียนจากเรื่องใกล้ตัวที่นักเรียนได้่ปฏิบัตินอกห้องเรียน
เริ่มจากการอ่านคำแล้วนำคำมาร้อยเรียงเป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ งานในแปลงเกษตรจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของนักเรียน ที่จะช่วยเชื่อมโยงประสบการณ์ทางภาษา อันนี้เองคือ"บูรณาการ"ตามที่ครูหนึ่งเข้าใจและรู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้น
“ไปกันเถอะนักเรียน ได้เวลาลงแปลงเกษตรแล้ว” ครูบอกนักเรียนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือ
“ครูคะ ผู้ใหญ่มาหาค่ะ” ครูหนึ่งหันไปมองที่ประตู ผู้ใหญ่บ้านจอดรถไถไว้ที่ถนนทางเข้าห้องสมุด แล้วเดินมาหาครูหนึ่ง
“ครูครับ จะทำนาเมื่อไหร่ครับ ผมเห็นหญ้าในนามันรกมาก ผมจะได้ไถให้”ผู้ใหญ่บ้านถาม
“ยังไม่ทราบเลยครับผู้ใหญ่ แต่ไถไว้ก่อนก็ดีเหมือนกันครับ” ครูหนึ่งบอก “งั้นพรุ่งนี้ผมมาไถให้ครับ”
ผู้ใหญ่บ้านขับรถไถออกจากโรงเรียนไปแล้ว ครูหนึ่งนำนักเรียนรดน้ำต้นไม้ที่แปลงผัก ใจเริ่มคิดคำนึ่งถึงกิจกรรมใหม่ที่จะสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ..เพราะในไม่ช้าครูหนึ่งจะได้ทำนาเป็นครั้งแรกในชีวิต
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
ไม่มีความเห็น