แนวคิดปฏิบัตินิยม เริ่มต้นที่อเมริกาเมื่อปี พ.ศ
๒๔๒๐จากบทความชื่อ The Fixation of Belief ของ
ชาลล์ เพียช นักปรัชญาชาวอเมริกัน
แต่เค้าก็มิได้ตั้งชื่อ Pragmatism (ปฏิบัตินิยม)
... ผู้ที่ตั้งชื่อแนวคิดนี้คือ วิลเลี่ยม เจมส์
...ส่วนผู้ที่นำมาประยุกต์ใช้ก็คือ จอห์น ดิวอี้
..ฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่า เพียชเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด
เจมส์เป็นผู้ตั้งชื่อ และดิวอี้เป็นผุ้เลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมา
...ซึ่งผู้จะนำเสนอแนวคิดพื้นฐานของสามเสาหลักเหล่านี้ต่อไป
แนวคิดในบทความเริ่มแรกของเพียช
จะประมวลมาบอกเล่าตามความเห็นของผู้เขียน
ซึ่งไม่ยืนยันว่าจะถูกต้องตามที่เพียชต้องการนำเสนอหรือไม่
ตามแนวคิดของเพียช คนเราเมื่อแรกเกิดนั้น
สมองว่างเปล่า ไม่มีอะไรบรรจุอยู่โดยประการทั้งสิ้น
สิ่งที่เรารับรู้ได้โดยผ่านประสาทสัมผัสนั้น เป็นเพียงข้อมูลดิบๆ
ซึ่งเรายังคงสงสัยสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ นั่นคือ
ความรู้ตามนัยของเพียชเป็นเพียงความสงสัยเท่านั้น
เมื่อมีโอกาสทดลองทำ
หรือทดลองใช้ข้อมูลเหล่านั้น ถ้าได้ผลเป็นจริงเราก็จะค่อยๆ
เชื่อ นั่นคือ
ความสงสัยที่ทดลองใช้แล้วได้ผลก็จะกลายเป็นความเชื่อ
ถ้าใช้ทุกครั้งได้ผลทุกครั้งสิ่งนั้นก็จะเป็นความจริง ดังนั้น
ความจริงตามความเห็นของเพียชก็คือ ความเชื่อที่ฝังแน่น หรือ
ความเชื่อที่ยึดตึดเท่านั้น
...ส่วนสิ่งที่เราทดลองใช้แล้วไม่ได้ผลก็จะยังคงเป็นความสงสัยและเราก็จะค่อยๆ
กำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปจากสิ่งที่เราจะเชื่อว่าเป็นความรู้ของเราเท่านั้น
เมื่อจัดกระบวนการตามแนวคิดของเพียช จะได้ดังต่อไปนี้
๑.
ความว่างเปล่าของสมอง
๒.
การรับรู้สิ่งภายนอกเป็นข้อมูลต่างๆ
๓.
ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงความสงสัย
๔.๑ ความสงสัยที่ถูกทดสอบแล้วได้ผลจะเป็นความจริง
๔.๒.
ความสงสัยที่ถูกทดสอบแล้วไม่ได้ผลก็จะทิ้งไป
๔.๓.
ความสงสัยที่ถูกทดสอบแล้วได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างก็ยังคงเป็นความสงสัย
สรุปได้ว่า ความรู้ก็คือความสงสัย
ความจริงก็คือความเชื่อที่ยึดแน่นเท่านั้น...ประมาณนี้
นมัสการเจ้าค่ะ
โธ่หลวงพี่ กำลังมีรายงาอยู่พอดี ข้อมูลน่าจาเข้มข้นกว่านี้หน่อย
สรุปได้ว่า ความรู้ก็คือความสงสัย ความจริงก็คือความเชื่อที่ยึดแน่นเท่านั้น...ประมาณนี้
>>ปฏิบัตินิยม แต่ทำไมไม่เห็นกล่าวถึงการปฏิบัติเยอะๆหน่อย
ทำไมไปสรุปว่าสงสัยอะ
เพราะเคยอ่านผ่านว่ามีลัทธิสงสัยอีก ........ งง จัง ยากด้วยวิชานี้
คุณนิสิต
แนวคิดนี้ มาจากประเด็นบ่อเกิดความรู้ แล้วก็ค่อยแปรไปสู่ประเด็นอภิปรัชญาเรื่องความจริง ต่อจากนั้นก็ให้ความหมายว่า ความจริงคือความเชื่อที่ยึดแน่น ต่อมาก็มีการประยุกต์ว่า ต้องทดลองทำหรือปฏิบัติดู ถ้าใช้ได้ก็จัดเป็นความจริง ถ้าใช้ไม่ได้ก็ไม่จัดว่าเป็นความจริง ..นั่นคือ ค่อยๆ แปรไปเรื่อย
หลวงพี่ไม่ได้นำเสนอในด้านการนำไปประยุกต์ใช้ เพียงแต่เรียงลำดับการเกิดของของแนวคิดนี้ เพื่อจะยืนยันว่า แนวคิดนี้ไม่ควรนำมาใช้และขัดแย้งกับพุทธปรัชญาอย่างไร ..
ถ้าว่าด้วยการนำไปประยุกต์ใช้ ลัทธินี้แปรไปเยอะแล้ว ตอนนี้มีความคิดใหม่ๆ เค้าเรียกว่า ปฏิบัตินิยมใหม่ ซึ่งหลวงพี่ไม่รู้เรื่อง จ้า
เจริญพร
ความแตกฉานในสิ่งที่ยากยิ่งของพระคุณเจ้า ทำให้ผู้อ่านรู้สึกชื่นชมมากครับ เพียซ ได้แสดงให้เราเห็นว่า "ก่อนที่จะมาเป็นความรู้" นั้น สิ่งนั้นจะต้อง "เกิดซ้ำได้" ถ้าทำซ้ำได้ สิ่งนั้นก็เป็น"ความรู้" และความรู้นี้ เป็น "จริง" เช่น ถ้าเรา "เห็นผี" ที่ตรงนั้น เราจะต้อง "เห็นผีได้อีกครั้ง" ในเวลาต่อมา ถ้าไม่เห็นอีก "ผี" นั้นก็ "ไม่ใช่ความรู้" และถ้าใครว่ามี เขาก็มีความรู้เท็จ ฯลฯ นี่เป็นตัวอย่างเฉพาะความรู้ประเภท "ข้อเท็จจริง" ถ้าเป็นความรู้ประเภท "มโนทัศน์" หรือ "กฎธรรมชาติ"ด้วยแล้ว จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก
การทำหรือสัมผัสซ้ำๆนี้ก็คือ "การปฏิบัติซ้ำ" คำ Pragmatism จึงได้ถูก "โยน"เข้ามาในวงการของปรัชญา ทำให้ พจนานุกรมปรัชญาหนาขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง
บล็อกดีๆอย่างนี้น่าจะมีให้มากกว่านี้ครับ
อาจารย์ลุง
ความรู้ เป็นภาษาไทย ส่วน ปัญญา เป็นภาษาบาลี อีกคำคือ ปรัชญา เป็นภาษาสันสกฤต
ความรู้ และ ความเข้าใจ ...น่าจะมีแค่นี้สำหรับภาษาไทยซึ่งความหมายใกล้เคียงกันที่สุด
ส่วน ปัญญาในภาษาบาลี ซึ่งมีความหมายว่า ความรู้ในภาษาไทยนั้นมีเป็นเป็นสิบคำ ยากส์....
ดังนั้น ความรู้ กับ ปัญญา จะเหมือนกันไหม.. ถ้าจะตอบแบบกว้างๆ ก็คงจะเหมือนกัน แต่ถ้าจะเอาชัดเจน ก็ต้องตรวจสอบเนื้อหาที่ใช้จริงๆ ...ประมาณนี้
เจริญพร
น่าจะต่างประเด็นออกไป...
ปฏิบัตินิยม เชื่อว่า...
ความจริงแท้ ยังรู้ไม่ได้ หรือมีหลายนัย (อภิปรัชญา)
ความรู้ คือ สิ่งที่นำมาใช้ได้ (ญาณวิทยา)
ส่วนการมุ่งเน้นแต่ผล น่าจะเป็นจริยศาสตร์ของสำนักประโยชน์นิยมหรืออัตตนิยมเชิงจริยะ มากกว่า....
............
แต่ถ้าถามว่า ประโยชน์นิยม และ อัตตนิยมเชิงจริยะ มีแนวคิดพื้นฐานทางอภิปรัชญาและญาณวิทยาสอดคล้องกับ ปฏิบัตินิยม หรือไม่ ?...
ประเด็นหลังนี้ อาตมามีความเห็นว่าสอดคล้องกัน....
เจริญพร
นมัสการพระคุณเจ้า ผมขออนุญาตกล่าวถึงปฏิบัตินิยมในเชิงประยุกต์ครับ (ต่อยอด) ผมอยู่ในวงการศึกษา ก็คงต้องกล่าวถึงการนำหลักการของปฏิบัตินิยมมาใช้ในวงการศึกษา โดยเรียกชื่อว่า"ประสบการณ์นิยม" Experimentalism โดยฝ่ายนี้ลงความเห็นว่า ความเป็นจริงก็คือประสบการณ์ และไม่มีความเป็นจริงที่กลั่นกรองแล้ว หากจะต้องสืบเสาะคิดค้นหาความจริงด้วยตนเอง ซึ่งก็เป็นที่มาของ Learning by doing ถ้าว่าด้วยแนวคิดของปรัชญานี้จริงๆแล้ว ความจริงจะมีลักษณะยืดหยุ่นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ โดยความเป็นจริงอย่างถูกต้องเพียงใด ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องมือ ดังนั้น ลัทธิประสบการณ์นิยม ก็คงจะคล้ายๆกับกระบวนการศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์นั่นเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับจิตใจหรือคุณธรรม เพราะโดยพื้นฐานแล้ว ปรัชญาตะวันตกจะเน้นการเอาชนะธรรมชาติเสียเป็นส่วนใหญ่
ตามที่ท่านผ.อ. ว่ามา ชัดเจนแล้ว....
ปรัชญาการศึกษาตามแนวคิดของปฏิบัตินิยม เริ่มต้นที่ดิวอี้ ซึ่งนำ "ความเชื่อที่ยึดแน่น" มาใช้เป็นเครื่องมือเรียกว่า อุปกรณ์นิยม.............
ตามความเห็นของอาตมา (และคิดว่านักเรียนปรัชญาโดยมากก็น่าจะมีความเห็นทำนองนี้) แนวคิดของสำนักนี้ง่ายๆ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากนัก....
แต่รู้สึกว่านักการศึกษามักจะให้คุณค่าแนวคิดสำนักนี้ค่อนข้างสูง...
เจริญพร
นมัสการ ครับ ขออนุญาตแลกเปลี่ยนแนวคิด เกี่ยวกับ "ความเชื่อที่ยึดแน่น"ครับ เกี่ยวกับแนวคิดของปฏิบัตินิยม แนวคิดนี้ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับ ว่าปฏิบัตินิยม คือ นิยมการปฏิบัติ ดังนั้น ความเชื่อ จึงเชื่อในการปฏิบัติครับ ถ้าปฏิบัติแล้วได้ผลก็ โอเค ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลก็โนเค ทีนี้จะเป็นความเชื่อยึดแน่นหรือไม่ ก็ต้องแล้วแต่ผลครับ ปฏิบัติมาหลายครั้ง จนแน่ใจได้ว่าชัวร์ ก็คงจะต้องเป็นความเชื่อที่ยึดแน่นครับ ส่วนการปฏิบัติในทางที่ผิด ต้องตีความครับ คำว่าผิด เอาอะไรมาวัดว่าผิด สำหรับปฏิบัติการนิยมแล้ว ผิด คือ ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ถ้าปฏิบัติแล้ว ได้ผล ไม่ผิดครับ ที่นี้หากเอาไม้บรรทัดอีกอันหนึ่งมาวัด คำว่าผิด คือ ผิดคุณธรรมจริยธรรม ประเด็นนี้ ไม่เกี่ยวกับปฏิบัตินิยมครับ ผมว่าถ้าเรามองแบบใจกว้างๆนะครับ ปฏิบัตินิยมก็มีส่วนดี เพียงแต่ว่าเราต้องมีกรอบการปฏิบัติภายใต้ของคุณธรรมจริยธรรมครับ