ถึงแล้วเมืองเฟือง:เสน่ห์แห่งธรรมชาติและเมืองแห่งลำน้ำ


เห็นรีวิวแนะนำเมืองเฟืองใน youtube บ้าง Ticktock บ้าง  ยังใสและสวย ปักหมุดทันที ปี 2565 ค่าเงินกับของลาวอ่อนตัว เงินบาทไทยแข็ง จึงคุ้มค่าในการข้ามแม่นำโขงไปเที่ยวในบรรยากาศ มัลดีฟส์ +แพกาญจนบุรี และฉันแถมความเป็นบ้านมุง อ.เนินมะปราง ให้ที่พิกัดนี้อีกด้วย...ที่สำคัญคนยังไม่เยอะเหมือนวังเวียง ไม่ไปตอนนี้แล้วจะไปตอนไหน

จากรีวิว  ดูท่าจะไปไม่ยาก ใจกล้าหน่อย แต่ ณ เดือนสิงหาคม 2565 อาจจะลำบากนิดหนึ่งเพราะเป็นหน้าฝน พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนมีถึงร้อยละ 40 แถมเมืองเฟืองเป็นเมืองท่องเที่ยวใหม่ของลาว ข้อมูลการท่องเที่ยวยังไม่แพร่หลาย ข้อมูลในรีวิวชี้ให้ติดต่อบริการต่างๆผ่าน whatsapp ฉันโหลดมาแล้วแต่ก็มีปัญหาในการใช้งานอยู่

เมืองเฟืองอยู่ในแขวงเวียงจันทน์ ตั้งอยู่ระหว่างเวียงจันทน์กับเมืองวังเวียงที่คนไทยรู้จักดี ใช้เวลาเดินทางผ่านทางหลวงพิเศษลาว-จีนประมาณ 1.30-2 ชม. ซึ่งจะแยกไปทางเดียวกับเมืองหินเหิบ...ใครผ่านไปวังเวียงจะคุ้นตากับแยกหินเหิบ   เมืองเฟืองอยู่ห่างจากตรงนั้นไม่ไกลนัก ประมาณ 35 กม. รถเก๋งก็ไปได้ค่ะ  ครั้งนี้ฉันตั้งใจจะเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะเป็นหลัก

เชคภูมิประเทศประกอบเรื่องราวจากรีวิวแล้ว  ก็เตรียมพาสปอร์ตรอ…พิกัดนี้น่าสนใจ

อ่างน้ำตงรีสอร์ท…อยู่ริมทะเลสาบอ่างเก็บน้ำ…ปักหมุด ในรีวิวดูเหมือนมัลดีฟท์เมืองลาว ขอให้ตรงปกกับรีวิว

ส่วนแพแถวลำน้ำลีก…ยังติดต่อไมไ่ด้  แต่บรรยากาศเหมือนแถวกาญจนบุรี

CR: ภาพจาก Google Map

พอกระซิบบอกพี่ชาย-เฮียอ้อน ปุ๊บปั๊บทัวร์ของเราสองคนก็เกิดขึ้นทันใด ตัดสินใจ 3 วันก่อนออกทริป เรายังติดต่อจองที่พักที่เมืองเฟืองไม่ได้เลย เค้าไม่เคยเล่นเฟสบุ๊คกัน การโต้ตอบก็ช้า   Whatsapp  ที่ฉันโหลดมาก็ติดต่อได้เฉพาะรายชื่อเบอร์ไทย งานก็ยุ่งไม่มีเวลาหาข้อมูลเพิ่ม  แต่เราก็ตกลงจะดุ่ยไปกัน

เรากะข้ามด่านเวียงจันทน์ในตอนเย็น ใช้เวลา 3 วัน 2 คืนกับเมืองเฟืองให้อิ่ม ด่านปิดเวลา 4 ทุ่ม การเดินจากขอนแก่นก็สบายๆ ขับรถกันมาเรื่อยๆ ออกบ่าย 3 ก็ข้ามทัน  แต่ระหว่างมีอุบัติเหตุทำให้การเดินทางไปถึงที่หมายช้า  ได้ข้ามด่านลาวในเวลาทุ่มกว่าๆ เกือบ 2 ทุ่ม จนต้องนัดหมายคนขับรถตู้เหมาของลาว มารับที่ด่าน  เพราะรถประจำทางเข้าเมืองหมดตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้ว

การข้ามด่านหนองคายมีความสะดวก ปลอดภัย  มีร้านรับฝากรถกับใกล้ๆ ด่าน บริการราคา 100 บาท/วัน เดินแป็บก็ถึงด่านไทย ผ่านพิธีตม.เสร็จ ก็ข้ามแดนเสร็จโดยนั่งรถประจำทางที่จะมาเทียบทุกครึ่งชม.ไปด่านลาว รถหมดเวลา 3- 3ทุ่มครึ่ง  เสียค่าธรรมเนียมตม. 20 บาท+ค่าล่วงเวลาอีก 5 บาท 

เราแวะเปลี่ยนซิมในราคา 100 บาทใช้ได้ 3 วันที่ตู้บริษัทโทรคมนาคมซึ่งเปิดถึง2 ทุ่ม ซิมเป็นแบบโทรและใช้เน็ตได้ แต่พลาดตรงนี้ลืมถามว่าเบอร์โทรเราเบอร์อะไร (แถมเชคเองก็ไม่เป็น)  ขากลับก่อนออกด่านก็จะแวะให้เค้าเปลี่ยนซิมไทยคืนให้ (บริการฟรี)…เพราะพี่น้องสองคนแก่แล้วตาไม่ดี แกะซิมเองกลัวสอดช่องไม่ถูก ถ้าได้ไปลาวบ่อยๆก็เก็บซิมไว้เติมเงินโดยไม่ต้องซื้อใหม่

จัดการเรื่องการสื่อสารแล้ว เราให้อ้ายลำพอน-หรืออ้ายพอนพาไปกินข้าวก่อนที่จะไปส่งเราที่โรงแรมจันดารา บูติก รีสอร์ท และนัดหมายเวลา 8.30 น.ของวันพรุ่งนี้มารับไปส่งที่สถานีขนส่งสายเหนือ 

โรงแรมจันดารา เป็นโรงแรมที่มีโครงสร้างตึกสวย ช่วงเราไปมีความสงบเนิบช้า ไม่รุว่าปกติแล้วจะเป็นบรรยากาศอย่างที่เราไปเจอไหมนะ  ชอบเลยหล่ะ  

ที่พักเราอยู่ใกล้กับร้านอาหารดาวคำ (Daokham Hotel & Restaurant) ร้านอาหารกึ่งผับที่เติมความอิ่มและความสนุกให้เราได้…เดินแป๊บก็ถึง

ฉันเลือกที่พักจากอโกดา แต่บัตรเครดิตไม่ตัด เพราะฉันพิมพ์เลขบัตรเครดิตผิดไป  ฉันว่าฉันเชคดีแล้วนะ วันนี้ห้องพักคนไม่ชุก  ห้องไม่เต็มไม่งั้นก็คงต้องวิ่งหาที่พักกันใหม่ หมดปัญหาเรื่องที่พักไป

เชคอินโรงแรมเสร็จ ไม่ดึกนัก อาบน้ำอาบท่าแล้วยังไม่ง่วง  มีเวลาให้สูดอากาศดีๆ  ต่างคนต่างปลีกวิเวก ก่อนจะถึงเวลาเข้านอน

ราคาบริการของโรงแรมรวมอาหารเช้าและ welcome drink  อาหารเช้าในเวลา 7 โมง มีแต่เราคณะเดียว ชาวบ้านเค้าไปไหนกันหมด รึยังไม่ตื่น

ลุงเลือกเฝอไก่มาซดร้อนๆเอาแรง ส่วนฉันของชุด ABF ชอบใจขนมปังให้มาแบบจุกๆ มีทั้งเป็นแบบขนมปังปอนด์ กับบาแก็ตต์

อ้ายพอนมารอรับแต่เช้า เราขอให้แวะร้านขายเบอเกอรี่เพื่อติดไปกินระหว่างทาง  ไม่รุเมืองเฟืองมีอะไรมั่ง  นึกภาพไม่ออก ขนมอร่อยมาก ถึงนมเนย ชิ้นใหญ่ ชิ้นหนึ่งประมาณ 13 บาท กินไป 2 วันก็ยังไม่หมด…ได้ซื้อเป็นของฝากน้องนิด ลูกสาวคนฮู้ของอ้ายพอนด้วย

อ้ายพอนมาส่งที่ท่ารถสายเหนือแล้วก็ฝากฝังเรากับคนขับรถตู้ให้ไปส่งให้ถึงที่พัก และได้แนะนำเราว่า หากมีเบอร์โทรศัพท์ของที่พักก็อาจจะขอใช้เบอร์คนลาวโทรติดต่อที่พักได้และให้ค่าน้ำใจเค้า จริงๆเมื่อคืนตอนอยู่ที่ภัตตาคารดาวคำเราก็ใช้เบอร์โทรศัพท์เราติดต่อไปแล้ว  โทรได้ แต่ Whatsapp ไม่ขึ้น ทางโรงแรมเค้าให้โอนเงินทันที  เราทำไม่เป็น…สรุปว่าวันนี้เราจะหาที่พักแบบ walk in

ฉันอิ่มข้าวเช้ามาจากโรงแรมแล้ว แต่เส้นสดที่ร้านข้าวเปียกที่ท่ารถระหว่างที่รอรถออกก็ทำเอานึกอยาก เอาจริงก็ไม่กล้ากินกลัวรถออกก่อน

เราเปิดรูปให้คนขับดูว่าเราอยากไปที่แพลำน้ำตง คนขับก็อ๋อ เรายังคิดว่าเค้าจะไปส่งเราที่ขนส่งแล้วมีรถสกายแล็ปให้เช่า ผิดคาดที่เมืองเฟืองนี่รถตู้ประจำทางจะไปส่งเราตามจุดหมาย ถึงที่รีสอร์ทเลย  

ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะอ้ายพอนฝากฝัง แต่อ่านจากรีวิว เป็นวัฒนธรรมการดูแลผู้โดยสารเลย โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม  เมื่อคิดถึงขากลับ…ผู้ที่ไม่มีรถมาเองควรนัดหมายรถให้ชัดเจนในการมารับเพื่อเดินทางกลับ…และมานึกย้อนหลัง  หากวันนั้นที่พักเต็มฉันจะออกไปหาที่พักใหม่ได้ยังงัย…ในเมื่อรถตู้ก็ออกไปเพื่อไปส่งผู้โดยสารคนอื่นแล้ว และจากถนนใหญ่ก็เดินไกลโขเหมือนกัน

บริการรถตู้ที่ลาวนี่น่าเอ็นดูววว์มาก  ขึ้นรถเพื่อจองที่นั่ง  แต่คนไม่ครบแม้จะถึงเวลาแล้วก็อาจจะออกเลท  เมื่อรอผู้โดยสารนานๆ คนที่ขึ้นก่อนก็ร้อนเพราะรถยังไม่ติดเครื่อง ก็ชวนกันลงมาเดินเล่น เหมือนรถจะออกก็ขึ้นไปใหม่ ขึ้นๆ ลงๆอยู่ 2-3 รอบก่อนรถจะออก มีไก่ตัวเป็นๆด้วยๆ บรรยากาศเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ เราสามารถขยับนั่งด้วยกัน จนผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 16 คน ผู้เดินทางร่วมรถก็ถามเราก็บพี่ชายว่ามาจากไหน พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง มีคนแก่ผัวเมียคู่หนึ่งลงรถก่อนเรา ยังมาอวยพรให้พี่ชายเราที่นั่งติดกันเดินทางปลอดภัย เป็นอะไรที่น่ารักมาก  หาไม่ได้ในเมืองใหญ่

รถตู้มีความน่ารักพาผู้โดยสารไปแวะซื้อข้าวจี่ด้วย พอเลี้ยวเข้ามาแยกหินเหิบคนก็ทยอยลง  สภาพถนนจากเมืองหินเหิบมาเมืองเฟือง บางช่วงเป็นถนนดินแดงแต่ส่วนใหญ่เป็นถนนราดยาง  ค่อนข้างสะดวก  ไม่โหด

รถตู้จอดส่งคนรายทาง และเลี้ยวจากถนนใหญ่  เข้าไปส่งเราที่แพน้ำตง 

เราถึงที่พักประมาณเที่ยงกว่า วันที่เราไปเป็นฤดูฝน แต่แดดจ้ามาก วิวสวย  แต่เสียดายเราได้ที่พักแค่ 1คืนและเป็นห้องวิวภูขา ต้องเดินขึ้นเนิน  

ที่พักที่นี่เหมาะกับการมาแคมป์ปิ้งที่เตรียมอุปกรณ์มาเอง ในห้องพักไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกนัก เรียกว่าเป็นแบบ Minimal   คนลาวนิยมมาปิกนิกกันวันที่เราไปก็มีหลายครอบครัวนำอาหารมาประกอบเอง  พื้นที่กว้างขวาง และเหมาะกับการมาชมพระอาทิตย์ลับภูเขา  แสงยามเย็นสวยงามมาก

นักท่องเที่ยวสามารถสั่งอาหารขึ้นไปทานที่ห้องพักได้...แต่ต้องสั่งโดย Whatapp  เราโทรศัพท์ติดนะ แต่เค้าแจ้งให้เราสั่งผ่าน Whatapp  เฮียอ้อนแกติดกาแฟน่าเสียดายที่ห้องพักไม่มีกาน้ำร้อน  ต้องไปใช้ที่ฟร้อนท์ แต่เห็นเนินแล้วแกว่าแดดจ้าแบบนี้ไม่ไหว เปิดแอร์นอนดีกว่า  หิวค่อยว่า  ฉันหลับไปงีบบ่าย 3 ตื่นมาพร้อมกับอาการเหมือนจะหิว เลยบอกเฮียอ้อนว่า...หนูลงไปสำรวจก่อนนะ

สิ่งที่ได้พบจากการสำรวจคือ 

  • ฉันได้รถเหมาสำหรับพรุ่งนี้   หามอเตอร์ไซค์เช่าในรีสอร์ทไม่มี  ตอนไปในเมืองก็ลืมถาม 
  • มีถ้ำน้ำแข็งที่ชาวบ้านค้นพบใหม่บริเวณนี้ และจะเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวเร็วๆนี้    ที่เฮ๊ยอ้อนลงปฏิทันการท่องเที่ยวของแกไว้แล้ว   
  • และฟินกับแพที่กระจายตัวอยู่ในอ่างเก็บน้ำ รายล้อมด้วยภูเขา วิวหลักล้าน

แพที่นี่ช่วงกลางวันจะเปิดเพลงโจ๊ะๆ เสียงดังไปไกล ส่วนใหญ่เป็นเพลงไทย เปิดถึงทุ่มกว่า แล้วก็จะเบาเสียงไป ตอนแรกเราก็เสียดายที่เสียงดังของเพลงรบกวนความเป็นธรรมชาติ แต่ก็ต้องยอมรับถึงวัฒนธรรมการพักผ่อนของคนที่นี่ ปล่อยใจไปกับสายน้ำและเรียนรู้ความเป็น-อยู่-คือ   แพเปิดไฟตลอดคืนนะคะ ผู้เข้าพักสามารถนอนเล่นที่แพได้ถึงดึกดื่น ถึงเช้าเลยก็ได้ น้องๆที่แพบอกว่าไม่มีมียุง  แสงไฟเมื่อมองมาจากที่พักบนเนินสวยงามมาก

อากาศเริ่มเย็นขึ้นจากช่วงเที่ยง  ฉันแวะสั่งอาหารไว้  ให้เค้าไปส่งที่แพ อาหารนี่ต้องสั่งจากด้านบน  เห็นน้องๆเดินมาเสิร์ฟหล่ะเหนื่อยแทน  ฉันรู้สึกว่าไกลมาก  แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรกังวล  ทริปนี้เนิบๆ ช้าๆ  เรามาพักผ่อน

จุดสั่งอาหารของเราค่ะ ก่อนที่จะเดินไปลงแพไปเลือกจุดนั่งทาน  ซึ่งจะแยกซุ้มใครซุ้มมัน อ้อมีข้อห้ามด้วยนะคะ

โชคดีเจอศิษย์เก่ามข.ด้วย  ท่านเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในเวียงจันทน์ มาสำรวจพื้นที่เพื่อการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน นับเป็นโอกาสดีที่ได้ทักทายกัน

บ่ายแก่ๆแบบนี้ เป็นเวลาถ่ายรูปเล่น  และหย่อนใจด้วยกันเหม่อมองกับภาพพานอรามา สลับกับการอ่านหนังสือ สักพักพี่ชายฉันก็ตามลงมา มีอารมณ์อยากเล่นน้ำด้วย  ซึ่งแพก็จะปลอดภัยเพราะทำบล็อกให้ลงไปแช่   มีความแข็งแรง 

น้ำใส เย็น  ไม่มีกลิ่น  

อาหารที่สั่งจัดเสริฟ์มาเป็นถุงคล้ายกับแกงตลาด ให้มาพร้อมถ้วยจานพลาสติก รวมกันใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่ให้เด็กหิ้วมาส่ง  กินเสร็จก็ทิ้งลงถุงดำที่ทางแพจัดไว้ให้ เค้าใช้พลาสติกมากจริงๆจนตกใจแทนว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่ที่ใช้กำจัดขยะ     

พอพระอาทิตย์ลับภูเขา เราก็กลับมาห้องพัก เราสลับกันใช้ระเบียงเพราะพี่ชายฉันสูบบุหรี่  ดึกหน่อยฉันนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นอยู่ริมระเบียงมองมาที่แพกลางน้ำแสงไฟสวยงามมาก  แมลงกลางคืนแข่งกันกรีดเสียง  หอมกลิ่นป่ากลิ่นดิน นานแล้วที่ไม่ได้บรรยากาศแบบนี้  และ 4 ทุ่มฝนเริ่มตก 

หลับรวดเดียวถึงเช้า   เช้านี้ฝนยังปรอย มองเห็นหมอกปกคลุมยอดเขา  วันนี้เราจะออกรอบได้แค่ไหนนะ

นัดรถไว้ 7.30 โมงครึ่งเพราะไม่มีกาแฟกิน ต้องลงไปเอาน้ำร้อนที่ฟร้อนท์ ขี้เกียจเดินนะ มีความอยากไปทำบุญที่วัดในละแวกนี้ด้วย  จึงเชคเอ้าท์ครั้งเดียว   ได้รถขนของมารับที่ว่าเหมาไว้ตั้งแต่มะวาน ขับขึ้นมารับบนเนินที่พักแบบไม่ต้องเดิน  นั่งหน้าได้ 2 คนพอดี  คนขับบอกมีรถตู้ด้วยนะแต่ราคาบริการจะมากกว่านี้  ฉันได้ราคาเหมาบริการครึ่งวัน 600 บาท 

ถุงขนมเบอเกอรี่ยังติดตามเราเป็นเสบียง

เราแวะที่วัดเล็กๆ ในหมู่บ้านของเมืองเฟือง เพื่อทำบุญสนับสนุนชุมชน เสียดายที่พระในวัดรับกิจนิมนต์ในเมือง เลยไม่ได้สนทนาธรรม

ตู้บริจาค ทำจากไม้แกะสลักเป็นรูปพระบิณฑบาต สวยงามและสร้างสรรค์

คนขับรถเหมาพาขับต่อไปอีกประมาณ 7 กม. เพื่อไปกราบพระที่วัดสินไชยาราม คนในท้องถิ่นเชื่อว่าเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ มีเรื่องราวสอดคล้องกับวัดที่คำชะโนดของไทยด้วย เป็นวัดที่ดาราไทยชื่อดังคนหนึ่งไปทำบุญและบูชาพญานาคที่นี่

ระหว่างทางนั้นหมอกมาลอยอ้อล้อให้อยากกระโดดงับหมอกเลย แต่เราไม่ได้ให้รถพาเป็นชมภูเขาที่เป็นแลนด์มาร์คของเมืองเฟือง…เพราะฝนยังปรอยมาเป็นช่วงๆ

กะจะกินกาแฟแถวหน้าวัด  ร้านยังไม่เปิด ในวัดมีศาลากาแฟบริการฟรีค่ะ เฮียอ้อนได้กาแฟรองท้องยามเช้า 

ภายในวัดสินไชยารามสวยงาม  และต้องใช้เวลาในการเดินชม เผื่อเวลาได้ด้วยนะคะ

10 โมงกว่าเริ่มหิว ให้รถแวะกินเฝอร้อนๆ  ในวันอากาศหนาว  ณ เวลานี้อะไรก็อร่อยหมด เฝอต้องกินกับผักสด

ท้องอิ่มแวะแลกเงินกีบในตลาด  ก่อนที่รถจะมาส่งที่ เฮือนพักแม่น้ำสามสาย (ที่หมายถึงแม่น้ำสามสายมาประสบกัน ได้แก่  ลำน้ำตง  แม่ลำน้ำลีกเล็ก  ลำน้ำลีกใหญ่) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ แพเมืองเฟือง ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเฟืองไปประมาณ 10 กม.  มีความธรรมชาติและชนบทมากจนตกใจพรุ่งนี้ตรูจะกลับเวียงจันทน์ได้อย่างไร

ระหว่างทางคนขับรถก็เล่าให้ฟังถึงผาหน่อคำ…เที่ยววัฒนธรรมต้องอย่างนี้

แล้วติดตามกันต่อนะคะ...กับ EP หน้า ที่จะมาเล่าเรื่องแพเมืองเฟือง สวรรค์แห่งการพักผ่อน และการกลับคืนสู่เวียงจันทน์

Footnote-----

ค่ารถประจำทางข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว  30 บาท นอกเวลา  35 บาท

ค่าธรรมเนีรยม ตม.ลาว คนละ 20 บาท

ค่าเหมารถตู้จากด่านลาว-ส่งโรงแรม (หลัง 2 ทุ่ม) รอที่ร้านอาหาร และรับส่งจากที่พักในตอนเช้าไปส่งสถานีขนส่งสายเหนือ 1200 บาท

ค่าที่พักจันดารา เวียงจันทน์  1300 บาท

ค่ารถตู้ จากเวียงจันทน์ ไปเมืองเฟือง คนละ 125kK หรือประมาณ 265 บาท

ค่าที่พักลำน้ำตงรีสอร์ท 1200 บาท

ค่าเหมารถครึ่งวันนำ (เที่ยวและส่งที่พักแห่งใหม่)  600  บาท (เป็นรถขนของไม่มีแอร์)

ค่าที่พัก เฮือนพักแม่น้ำสามสาย 1050x2 ห้อง  (ห้องแอร์  ห้องน้ำในตัว)

ค่ารถกลับเข้าเมืองเวียงจันทน์ (ทางด่วนพิเศษ) คนละ 250 บาท  เป็นรถสองแถว  เรานั่งตอนหน้ากัน2 คน รถเปิดแอร์ในการวิ่ง

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท