ชีวิตที่พอเพียง  4334. ชีวิตกบฏ


 

นี่คือข้อสะท้อนคิดชีวิตตัวเอง    ไม่ทราบว่าเป็นการยกหางหรือประจาน

แปลกมากที่ผมมีนิสัยไม่ยอมเชื่อใครง่ายๆ ตั้งแต่เด็ก    จึงได้ชื่อว่าเป็นเด็กดื้อ ระดับดื้อด้าน โดนลงโทษแทบทุกวัน   จนพ่อแม่เกรงว่าจะเสียเด็กหรือเสียคน   เดาว่าพ่อแม่ใจชื้นที่ยิ่งโตยิ่งเรียนเก่ง     แต่ยังดื้อไม่หาย   

ที่จริงหากพ่อแม่ของผมได้เรียนรู้เรื่องสมองและการเรียนรู้อย่างผม    พ่อแม่ก็จะเข้าใจว่า เลือดกบฏของผมมาจากพ่อแม่นั่นเอง   ทั้งจาก gene  และจาก environment คือการเลี้ยงดูของพ่อแม่   พ่อแม่ผมไม่ถือประเพณีนิยมตามที่ชาวบ้านโดยรอบบ้านของเราทำ    คือเขามีชีวิตสบายๆ สนุกสนานไปวันๆ     แต่พ่อแม่ของผมเอาแต่ทำงานสร้างฐานะ    หลายสิ่งที่ชาวบ้านทำ นอกจากพ่อแม่ผมไม่ทำแล้ว พ่อยังเอามาพูดเปรยๆ เชิงเยาะเย้ยว่าเป็นสิ่งไร้สาระ   เดาว่าถ้อยคำเหล่านั้นมันกล่อมเกลาผมโดยทั้งพ่อแม่และผมก็ไม่รุ้ตัว    ไม่เฉพาะผม  น้องๆ อีก ๖ คน ก็มีนิสัยทำนองเดียวกัน    แต่เป็นที่รู้กันว่า ผมมีอาการหนักกว่าเพื่อน

ไปโรงเรียน ผมก็มีนิสัยสังเกตพฤติกรรมของครูและเพื่อนๆ ที่ส่วนหนึ่งเป็น “เด็กตลาด” ท่าทางรอบรู้และฉลาดกว่าผมที่เป็นเด็กบ้านนอก    และในบางพฤติกรรมผมก็ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่น่าทำ     แต่ก็ไม่กล้าพูดกับใคร เพราะเรามันเด็กบ้านนอก   ได้แต่พูดกับตนเอง

นิสัยพูดกับตนเอง สอนตนเองนั้น    เวลานี้เขาเรียกว่า self-reflection   เป็นกระบวนการฝึกทักษะ critical thinking หรือการคิดอย่างมีวิจาณญาณ    โชคดีจริงๆ ที่ความเป็นคนเงียบ ไม่กล้าพูดกับใคร   ไม่มีความมั่นใจที่จะแสดงออก   ช่วยพัฒนาทักษะพูดกับตนเองให้แก่ผม     

ผมค่อยๆ สังเกตเห็นว่าหลายสิ่งหลายอย่างมันมีความไม่ชัดเจน ที่ภาษาฝรั่งว่า ambiguity  มองได้หลายมุม ตีความได้หลายความหมายที่แตกต่างกัน    และสังเกตว่า ผมมีนิสัยชองมองหามุมที่เห็นต่างจากคนอื่น   และค้นพบว่า มุมที่หาง่าย คือมุมที่มุ่งประโยชน์ส่วนตนน้อย    มุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักใหญ่    เมื่อเอามาดำเนินการยามมีโอกาส ก็ได้ชื่อเสียงว่าเป็นคนมีความริเริ่มสร้างสรรค์    เป็นที่แปลกใจสำหรับผม    เพราะมันเป็นเรื่องตื้นๆ แท้ๆ 

ตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าทำไม่คนอื่นไม่เห็นมุมที่ยิ่งใหญ่นั้น    เพราะกิเลสมันมาบดบัง     ผมโชคดีที่ไม่คิดปรนเปรอกิเลส       

เพราะตัวเองเป็นกบฏตั้งแต่เด็ก   พอมีลูกและโดนลูกทำแบบเดียวกันผมจึงเข้าใจ    คือลูกเขาประกาศความเป็นตัวของตัวเอง    ขอตัดสินใจเองว่าจะเรียนอะไร และจะทำอะไรในชีวิต     ผมจึงบอกตัวเองว่า ตอนเราเด็กๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ    พ่อลูกมีเลือดกบฏพอๆ กัน  

ตอนนี้ลูกคนโตอายุ ๕๒  คนเล็ก ๔๒  ถือได้ว่าทุกคนมีชีวิตที่ดี เป็นประโยชน์ต่อสังคมทั้ง ๔ คน   

เรามีชีวิตที่ดี มั่นคง แต่ไม่ร่ำรวย  ไม่ว่า ยศ ศักดิ์ บริวาร หรือทรัพย์ ตามแบบโลกๆ     แต่เราร่ำรวยการแบ่งปัน เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง           

วิจารณ์ พานิช

๑ ต.ค. ๖๕

 

หมายเลขบันทึก: 709345เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2022 18:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม 2022 18:06 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท