คืนวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๕ ผมเข้านอนพร้อมกับสาระจากการประชุมคณะอนุกรรมการด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ ติดตามและประเมินผล ในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕ เมื่อค่ำวันนั้น
คุณูปการของโควิด ช่วยให้เกิด new normal ของการประชุม คือการประชุม ออนไลน์ any time, anywhere การประชุมเลิกทุ่มครึ่ง สามทุ่มผมเข้านอนพร้อมกับข้อมูลพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา มอบให้สมองย่อยเองยามหลับ
ตีสี่วันรุ่งขึ้น สมองก็ย่อย (reflect – ใคร่ครวญสะท้อนคิด) เสร็จ ออกมาเป็นบันทึกนี้
สมองของผมใช้ Kolb’s Experiential Learning Cycle กลั่นหลักการออกมา ๒ หลักการของการบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โดยผมไม่ต้องคิดเองเลย ๒ หลักการที่ได้มาฟรีๆ นี้ ได้แก่
- การบริหารแบบกระจายอำนาจ (decentralization) หรือเอื้ออำนาจ (empowerment) นี่คือรูปแบบที่ต่างจากการบริหารของระบบการศึกษาส่วนกลาง ข้อเตือนใจคือ การบริหารการศึกษาในจังหวัดนวัตกรรมการศึกษาต้องไม่ถอดแบบเอามาจากส่วนกลาง เพียงแต่ย้ายฐานบังคับบัญชามาไว้ที่จังหวัด หากทำเช่นนั้น จะไม่สามารถบรรลุการมีคุณภาพการศึกษาที่ต้องการได้ เพราะโรงเรียนและครูจะไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่กล้าใช้ความริเริ่มสร้างสรรค์ของตัวเอง ไม่กล้าคิดและทำแตกต่างจากคำสั่งจากส่วนกลาง
พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ ต้องมีวิธีบริหารการศึกษาในพื้นที่แบบเอื้ออำนาจให้โรงเรียนเป็นตัวของตัวเอง ให้โรงเรียนมีความรับผิดรับชอบต่อพื้นที่ที่ตนตั้งอยู่ และร่วมมือกับกลไกต่างๆ ในพื้นที่ที่ตนตั้งอยู่เพื่อร่วมกันจัด ระบบนิเวศการเรียนรู้ ให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ ไม่ใช่รับผิดรับชอบต่อผู้บริหารหรือกลไกการบริหารส่วนกลางของจังหวัด
การมีความรับผิดรับชอบ (accountability) เป็นหัวใจสำคัญของโรงเรียน กลไกการบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องดำเนินการให้มีกลไกความรับผิดรับชอบนี้ มีการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติของภาคีในพื้นที่ เพื่อทำความเข้าใจว่า ความรับผิดรับชอบของโรงเรียนต่อพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ หมายความว่าอย่างไร
โดยผมมีความเห็นว่า กลไกการบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ต้องเป็นกลไกที่ช่วยหนุนโรงเรียน ไม่ใช่สร้างความหนักใจให้โรงเรียนและครู ผมมองว่ากลไกความรับผิดรับชอบต้องเป็นเนื้อเดียวกันกับกลไกความร่วมมือ ภายใต้แนวคิดหรือความเชื่อว่า โรงเรียนทำงานด้วยตนเองแบบโดดๆ หรือโดดเดี่ยวไม่ได้ ต้องมีเครือข่ายความร่วมมือในพื้นที่ (และนอกพื้นที่ รวมทั้งที่ส่วนกลางของประเทศ) ร่วมกันสร้างสรรค์ “พื้นที่” หรือ “ระบบนิเวศ” การเรียนรู้ ของเด็กและเยาวชนในพื้นที่นั้น ที่เป็นการเรียนแบบ เรียนรู้เชิงรุก (active learning) โดยเป็นพื้นที่ที่มี “โค้ช” ให้แก่เด็ก ที่ไม่ใช่ครูเท่านั้นที่ทำหน้าที่โค้ช ยังมีพ่อแม่ผู้ปกครอง และพลเมืองดีอีกจำนวนมาก ที่ร่วมกันทำหน้าที่ โค้ช แก่เด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโค้ช การเรียนรู้และพัฒนา V ใน V-A-S-K
แต่ละโรงเรียน ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่เหมือนกัน แต่ละโรงเรียนจึงต้องกำหนด school goal / school concept ของตนเอง แล้วทำไปเรียนรู้ไป ปรับปรุงไป ซึ่งจะเข้าสู่หลักการที่สอง ที่สมองของผมกลั่นมาให้
- การบริหารวงจรการเรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่องไม่สิ้นสุด กลไกบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ต้องบริหารวงจรการเรียนรู้ของตนเอง และหนุนให้โรงเรียนมีวงจรการเรียนรู้ของโรงเรียนเองด้วย รวมทั้งหนุนให้มีวงจรเรียนรู้ข้ามโรงเรียน วงจรเรียนรู้นี้หมุนผ่านการปฏิบัติหรือการทำงานประจำนั้นเอง โดยที่ต้องพัฒนา “ชาลาการปฏิบัติงาน” (working / operating platform) ให้เป็นไปตาม Kolb’s Experiential Learning Cycle
หลักการสำคัญคือ กิจกรรมการเรียนรู้ และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน เป็น complex-adaptive process มีความซับซ้อนและเลื่อนไหล มีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมายไม่มีใครรู้ทั้งหมด การทำงานของโรงเรียนและของครูจึงไม่ใช่การทำงานแบบมี blueprint หรือ roadmap ตายตัว ไม่ใช่การทำงานแบบเส้นตรง ที่มีจุดเริ่มต้น กับจุดสิ้นสุดหรือเป้าหมาย แล้วเดินทางจากจุดเริ่มต้นสู่ป้าหมายตามสูตรสำเร็จ แต่ในความเป็นจริง ครูและโรงเรียนต้องทำงานเป็นวงจร ที่มีการเรียนรู้และปรับตัวเป็นวงจรอยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันจบสิ้น
ระบบบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จึงต้องทำงานหนุนวงจรการเรียนรู้หลายระดับ หลายวงที่หนุนเสริมกัน ตามที่กล่าวตอนต้นข้อ ๒ และที่สำคัญ สบน. ซึ่งเป็นกลไกกลางของประเทศ ก็ต้องมีวงจรการเรียนรู้ของตนเอง และมีวิธีหนุนวงจรการเรียนรู้ร่วมกันของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาทั่วทั้งประเทศ
วิจารณ์ พานิช
๑๘ ส.ค. ๖๕