การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์คือ การพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการของโลกตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 17
มีการค้นคว้าแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติโลกและจักรวาล ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง เจริญรุ่งเรือง
เป็นผลให้ชาติตะวันตกพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆอย่างรวดเร็ว ปัญญาชนชาวตะวันตกให้ความสนใจศึกษาค้นคว้า
จนเกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์แขนงต่างๆโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ และจากการ
ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ของ โยฮัน กูเตนเบอร์ก ชาวเยอรมัน ทำให้วิทยาการความรู้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว แนวคิดที่สนับสนุนให้
เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เกิดจากแนวความคิดที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1. แนวคิดมนุษยนิยม ซึ่งได้รับมาจากหลักปรัชญาของชาว กรีกโดยสอนให้มนุษย์มีความเชื่อมั่นในความสามารถของมนุษย์
สติปัญญาของมนุษย์สามารถนำมนุษย์ไปสู่การค้นหาความจริงของสรรพสิ่งต่างๆในโลก
2. แนวคิดในปรัชญาธรรมชาตินิยมสอนให้เชื่อว่าสิ่งต่างๆล้วนดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ธรรมชาติที่อยู่รอบๆ
ตัวมนุษย์นั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ จึงเริ่มศึกษาค้นคว้าและทดลอง จนเกิดองค์ความรู้ใหม่เรียกว่าเป็น
ยุคแห่งภูมิธรรม
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
1. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในความสามารถของตน มีอิสระทางความคิด หลุดพ้นจากอิทธิพล
การครอบงำของคริสต์จักร และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น
2. การพัฒนาเทคโนโลยีในดินแดนเยอรมันตอนใต้ โดยเฉพาะการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบใช้วิธีเรียงตัวอักษรของ
กูเตนเบิร์ก ในปี ค . ศ . 1448 ทำให้สามารถพิมพ์หนังสือเผยแพร่ความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง
3. การสำรวจทางทะเลและการติดต่อกับโลกตะวันออก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษ ที่ 16 เป็นต้นมาทำให้อารยธรรม
ความรู้ต่างๆจากจีน อินเดีย อาหรับ และเปอร์เชีย เผยแพร่เข้ามาในสังคมตะวันตกมากขึ้น
ความสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
1. ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในสติปัญญาและความสามารถของตน เชื่อมั่นในความมีเหตุผล และนำไปสู่การแสวงหาความรู้โดยไม่มีสิ้นสุด
2. ก่อให้เกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในวิทยาการด้านต่าง ๆ และทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญ โดยเน้นศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ
3. ทำให้เกิดการค้นคว้าทดลองและแสวงหาความรู้ด้านต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสมัยต่อมา
4. ทำให้ชาวตะวันตกมีทัศนคติเป็นนักคิด ชอบสังเกต ชอบซักถาม ชอบค้นคว้าทดลอง เพื่อหาคำตอบ และนำความรู้
ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มต้นเป็นการค้นพบความรู้ทางดาราศาสตร์ ทำให้เกิดคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์
ทางธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นการท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของคริสต์ศาสนา สรุปได้ดังนี้
1. การค้นพบทฤษฎีระบบสุริยะจักรวาลของนิโคลัส ชาวโปแลนด์ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 สาระสำคัญ คือ ดวงอาทิตย์เป็น
ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ โคจรโดยรอบ ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสขัดแย้งกับหลักความเชื่อของ
คริสต์จักรอย่างมากที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แม้จะถูกประณามอย่างรุนแรง แต่ถือว่าความคิดของโคเปอร์นิคัสเป็น
จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ชาวตะวันตกให้ความสนในเรื่องราวลี้ลับของธรรมชาติ
2. การประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ ของกาลิเลโอ ชาวอิตาลีในปี ค . ศ . 1609 ทำให้ความรู้เรื่องระบบสุริยจักรวาลชัดเจนยิ่ง
ขึ้น เช่น ได้เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของดวงดาว และได้เห็นพื้นขรุขระของดวงจันทร์ เป็นต้น
3. การค้นพบทฤษฎีการโคจรของดาวเคราะห์ ของโจฮันเนส เคปเลอร์ ชาวเยอรมัน ในช่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17
สรุปได้ว่า เส้นทางโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์เป็นรูปไข่หรือรูปวงรี มิใช่เป็นวงกลมตามทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส
การเสนอวิธีสร้างความรู้แบบวิทยาศาสตร์
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีนักคณิตศาสตร์ 2 คน ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับวิธีสร้างความรู้เพื่อการศึกษา
ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ดังนี้
1. เรอเนส์ เดส์การ์ตส์ ( Rene Descartes ) ชาวฝรั่งเศส และเซอร์ ฟรานซิส เบคอน ( Sir Francis Bacon ) ชาวอังกฤษ
ได้ร่วมกันเสนอหลักการใช้เหตุผล วิธีการทางคณิตศาสตร์ และการค้นคว้าวิจัยมาใช้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแสวงหาความรู้
ทางด้านวิทยาศาสตร์
2. ความคิดของเดส์การ์ตส์ เสนอว่าวิชาเรขาคณิตเป็นหลักความจริงสามารถนำไปใช้สืบค้นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้
ซึ่งได้รับความเชื่อถือจากนักวิทยาศาสตร์ในสมัยต่อมาเป็นอย่างมาก
3. ความคิดของเบคอน เสนอแนวทางการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ “วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ” เป็นเครื่องมือ
ศึกษา ทำให้วิทยาศาสตร์ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
การจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
1. การเสนอทฤษฏีการศึกษาค้นคว้าด้วย “วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ” ทำให้เกิดความตื่นตัวในหมู่ปัญญาชนของยุโรป
มีการจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นในประเทศต่าง ๆ หลายแห่ง ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17เพื่อสนับสนุนงานวิจัย
การประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าโดยลำดับ
2. ความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักประดิษฐ์นำไปสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
จึงเป็นรากฐานของความเจริญ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ จึงมีผู้กล่าวว่ากรปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในคริสต์ ศตวรรษที่ 17
เป็นยุคแห่งอัจฉริยะ ( The Age of Genius ) เพราะมีการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
การค้นพบกฎแห่งความโน้มถ่วงของนิวตัน
1. การค้นพบความรู้หรือทฤษฎีใหม่ของ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ( Sir Isaac Newton ) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
ในตอนปลายคริสต์สตวรรษที่ 17 มี 2 ทฤษฏี คือ กฎแรงดึงดูดของจักรวาลและกฎแห่งความโน้มถ่วง
2. ผลจากการค้นพบทฤษฏีทั้งสองดังกล่าว ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดโลกและดาวเคราะห์
จึงหมุนรอบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จึงหมุนรอบโลกได้โดยไม่หลุดจากวงโคจร และสาเหตุที่ทำให้วัตถุต่าง ๆ ตกจากที่สูงลงสู่พื้น
ดินโดยไม่หลุดลอยไปในอวกาศ
3. ความรู้ที่พบกลายเป็นหลักของวิชากลศาสตร์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าในเรื่องราวของเอกภพสะสาร พลังงาน
เวลา และการเคลื่อนตัวของวัตถุในท้องฟ้า โดยใช้ความรู้และวิธีการทางคณิตศาสตร์ช่วยค้นหาคำตอบ
ผลจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17
1. การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เป็นสาเหตุผลักดันให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทำให้ประเทศต่าง ๆ
ในยุโรปพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านการผลิตจนกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก
2. การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทำให้เกิด “ ยุคภูมิธรรม ” หรือ “ ยุคแห่งการรู้แจ้ง ” ทำให้ชาวตะวันตกเชื่อมั่นในเหตุผล
ความสามารถ และภูมิปัญญาของตนเชื่อมั่นว่าโลกจะก้าวหน้าพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีความมั่นในว่าจะสามารถแสวงหา
ความรู้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด โดยอาศัยเหตุผลและสติปัญญาของตน
นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญ ในการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-18 มีการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์
ครั้งใหญ่มีการค้นคว้าทดลองพิสูจน์ทฤษฎีต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ในยุคนี้มีนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolus Copernicus : ค.ศ. 1473-1543) ชาวโปแลนด์ เสนอทฤษฎีว่าดวงอาทิตย์เป็น
ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดาวเคราะห์รวมทั้งโลกหมุนรอบ ดวงอาทิตย์ ทฤษฎีของเขาล้มล้างความเชื่อของคนในสมัยโบราณ
และสมัยกลางที่ยึดถือข้อสมมติฐานของอริสโตเติล (Aristotle) และงานเขียนของโตเลมี (Ptolemy) ที่อธิบายว่า โลกเป็น
ศูนย์กลางของจักรวาล
กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei: ค.ศ. 1564- 1642) ชาวอิตาลีได้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ เพื่อสังเกตการโคจรรอบ
ดวงดาว ทำให้นักดาราศาสตร์ได้รับความรู้เกี่ยวกับจักรวาลและการ เคลื่อนที่ในระบบสุริยจักรวาลตามทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส
ทฤษฎีของ กาลิเลโอขัดแย้งกับคริสต์ศาสนา ทำให้ถูกลงโทษจากคริสตจักร
เซอร์ ฟรานซิส เบคอน (Sir Francis Bacon : ค.ศ. 1561-1626) ชาวอังกฤษได้วางรากฐานการศึกษางานด้าน วิทยาศาสตร์
จนในที่สุดทำให้มีการจัดตั้งราชบัณฑิตยสมาคม ที่ เรียกว่า The Royal Society Of London For The Promotion Of
Naturat Knowledge ขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
เรอเน เดการ์ต ( René Descartes ค.ศ. 1596- 1650 ) ชาวฝรั่งเศสได้เสนอหลักการใช้เหตุผล และการศึกษาค้นคว้า วิจัยใน
การแสวงหาความรู้และการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ว่า สามารถนำมาพิสูจน์และตรวจสอบข้อเท็จจริงได้
เซอร์ ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton : ค.ศ. 1642- 1727) ชาวอังกฤษค้นพบกฎแรงดึงดูด (Law Of Universal
Attraction) และกฎแห่งความโน้มถ่วง (Law Of Gravity) ซึ่งเป็นผลให้นักวิทยาศาสตร์อธิบายการโคจรของโลกและดาวเคราะห์
ต่างๆ ที่หมุนรอบ ดวงอาทิตย์ได้
โจฮัน กูเตนเบิร์ก (Johann Gutenberg) ชาวเมืองไมนซ์ (Mainz) ประเทศเยอรมนีเป็นบุคคลแรกของชาวตะวันตก ได้คิดวิธี
การพิมพ์ โดยเรียงตัวด้วยโลหะ โลหะที่ใช้เป็นส่วนผสมระหว่าง ดีบุก 5% พลวง 12% และตะกั่ว 83% นอกจากคิดตัวเรียงแล้ว
กูเตนเบิร์ก ยังเป็นคนที่คิดออกแบบตัวพิมพ์ การแกะสลักแม่พิมพ์ และการหล่อตัวอักษร
ไม่มีความเห็น