ข่าว (๑) ระบุว่า ศ. พิเศษ ดร. อเนก เหล่าธรรมทัศน์ มุ่งสร้างระบบถ่วงดุล แก้ปัญหาธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก โดยท่านกล่าวย้ำประเด็นสำคัญใน แนวปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ (๒)
แต่เราต้องเข้าใจว่าเรื่องธรรมาภิบาลเป็นเรื่องที่ซับซ้อน มีหลายแง่หลายมุม ไม่ตรงไปตรงมา ไม่มีมาตรการใดที่จะแก้ปัญหาได้ทุกมหาวิทยาลัย ทุกปัญหาที่มีเรื้อรังในมหาวิทยาลัยไทย โดยที่หลายประเด็นไม่เชิงเป็นปัญหา แต่เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่นำไปสู่ปัญหาได้ง่าย มาตรการตาม (๒) จึงไม่เพียงพอในการใช้กลไกธรรมาภิบาลในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่มหาวิทยาลัย
ธรรมาภิบาลไม่ใช่เพียงเพื่อความราบรื่นเท่านั้น แต่ต้องเพื่อความเจริญก้าวหน้าด้วย และมหาวิทยาลัยสร้างความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการด้วยวัฒนธรรมของความเป็นอิสระในความคิดความเชื่อ เคารพข้อคิดเห็นที่แตกต่าง ให้คุณค่าข้อมูลหลักฐาน คือสังคมมหาวิทยาลัยต้องเป็นสังคม diversity ไม่ใช่สังคม conformity แบบทหาร
ธรรมาภิบาลต้องไม่ใช่แค่เพื่อความราบรื่นทางการเมืองในมหาวิทยาลัย แต่ต้องเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลัก เราต้องช่วยกันสร้างระบบธรรมาภิบาลเพื่อเป้าหมายนี้เป็นสำคัญ ซึ่งหากเน้นเรื่องนี้ ตัวแทนบุคลากร (รวมอาจารย์) ต้องมีเกณฑ์ในข้อบังคับให้เป็นบุคคลที่มีผลงานเด่นด้านต่างๆ เข้าไปเป็นกรรมการสภาไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของตัวแทนบุคลากร เราก็จะได้กรรมการสภาที่เข้าไปให้มุมมองเพื่อสร้างระบบเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ
ผมมีความเชื่อว่า governance ในมหาวิทยาลัยต้องมีมิติของ self-governance อยู่ด้วย ทั้งในกฎข้อบังคับ และในวัฒนธรรมองค์กร
คือผมเชื่อว่า self-governance มีทั้งมิติด้านกฎหมาย และมิติด้านสังคมวัฒนธรรม เราต้องช่วยกันสร้างวัฒนธรรมองค์กรมหาวิทยาลัยที่ช่วยสร้างการรวมตัวกันเพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคมในฐานะของอุดมศึกษา ที่ยกย่องคนดีมีความสามารถและทำเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่สนับสนุนคนที่มุ่งแสวงหาตำแหน่ง แลกกับการตอบแทนผลประโยชน์แก่ผู้สนับสนุน มหาวิทยาลัยใดมีสภาพสังคมแบบหลัง ย่อมตกต่ำ และควรมีมาตรการช่วยฟื้นสภาพสังคมวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยนั้นๆ เป็นการชั่วคราว ซึ่งหากจะตั้งวงปรึกษาหารือเพื่อหาแนวทางดำเนินการ ผมยินดีเข้าร่วม เพราะผมเคยใช้วางรากฐานวัฒนธรรมองค์กรของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อ ๔๐ ปีก่อน
สถาบันอุดมศึกษาต้องไม่ใช้ระบบ governance แบบการเมืองระดับประเทศ ต้องใช้ระบบ governance ของอุดมศึกษา เน้นเพื่อการทำหน้าที่ทางวิชาการให้แก่บ้านเมือง ใช้พลังของคนที่ประสบความสำเร็จด้านวิชาการ เข้ามานั่งในสภามหาวิทยาลัย และมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรวิชาการ ไม่ใช่วัฒนธรรมองค์กรการเมือง
วิจารณ์ พานิช
๙ ม.ค. ๖๕