นิตยสาร The Economist ลงบทความ A Visual History. How the World Changed : Twenty Years After 9/11 in Economist Cover บอกว่าเหตุการณ์ 9/11 (2001) ทำให้โลกไม่เหมือนเดิม โดยสหรัฐอเมริกาเริ่มขบวนการไล่ล่า โอซามา บิ ลาเดน และกวาดล้างกลุ่ม อัล เคดาห์ โดยตอนแรกคิดว่าอยู่ในอัฟกานิสถาน ๑ ปีให้หลัง เปลี่ยนเป็นสงสัยว่าอยู่ในอิรัก สิบปีหลังเหตุการณ์ 9/11 ทีมไล่ล่าของสหรัฐสังหารโอซามา บิน ลาเดน ได้ที่เมืองหนึ่งในปากีสถาน
สหรัฐอเมริกาบุกอิรักโดยอ้างว่ามีอาวุธสงครามเพื่อทำลายล้างอย่างกว้างขวาง เป้าหมายคือกำจัดประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งในที่สุดก็จับได้และถูกแขวนคอ พร้อมๆ กันกับความจริงเผยออกมาว่า ข้ออ้างว่าอิรักมีอาวุธสงครามระดับทำลายล้างนั้นเป็นการอ้างลอยๆ ไร้หลักฐาน
ตามมาด้วยการเปิดโปงความโหดร้ายของทหารอเมริกันที่ปฏิบัติต่อเชลยศึก ในสถานกักกัน และการวางระเบิดรถไฟใต้ดิน และรถบัสในลอนดอน เดือนกรกฎาคม 2005 ทำให้มาตรการรักษาความปลอดภัย ป้องกันการก่อการร้ายที่เริ่มมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 9/11 ยิ่งเข้มงวดขึ้น
สิบสามปีหลังเหตุการณ์ 9/11 พบว่ากลุ่ม ไอเอส (อิสลามิก สเตท) มีพลังก่อความไม่สงบ มากกว่ากลุ่ม อัล เคดาห์ ทั้งการรบแย่งชิงดินแดนทางตรงในตะวันออกกลาง และการก่อวินาศกรรมผ่านระเบิดฆ่าตัวตาย
ก่อนครบกำหนดยี่สิบปีของเหตุการณ์ 9/11 ปธน. ไบเดน ก็สั่งการให้ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ซึ่งสำหรับผมเป็นสัญญาณบอกว่า อำนาจทางทหารไม่มีพลังเหนือพลังศรัทธาทางศาสนา และการแสดงพลังเหนือทางอาวุธกินทรัพยากรมาก ไม่สามารถดำรงอยู่ได้นาน การใช้พลังทางทหารมีผลทำลายตนเองด้านเศรษฐกิจ ในที่สุดมหาอำนาจก็ต้องยอมรับการพ่ายแพ้ เหมือนกรณีสงครามเวียดนาม
โลกที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาที่พยายามดำรงความเป็นมหาอำนาจโลก กับความท้าทายจากกลุ่มมุสลิมที่รู้สึกว่าถูกกระทำจากมหาอำนาจ และพร้อมพลีชีพเพื่อต่อสู้กับผู้กดขี่ ทำให้ชีวิตของพวกเราที่ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องถูกกระทบ ทั้งโลกต้องมีมาตรการป้องกันวินาศภัย ในที่ต่างๆ โดยเฉพาะในการเดินทางทางเครื่องบิน
ผมตีความว่า ทั้งหมดนั้นเกิดจากการแสดงความเป็นมหาอำนาจ ไม่เคารพความเชื่อของผู้อื่นที่แตกต่าง จึงเกิดกระแสต่อต้าน เกิดคำถามว่า ใครกันแน่ที่เป็นผู้ก่อการร้ายต่อความสงบของโลก
วิจารณ์ พานิช
๒๖ ก.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น