ท่ามกลางมรสุมชีวิต
พัดโหมกระหน่ำเข้ามาจนทำให้เราเซถลา และล้มลง
พยายามพยุงตัวลุกขึ้น
แต่ลมที่พัดโหมแรงทำให้ล้มลุกคลุกคลาน
ตะเกียกตะกายหาสิ่งยึดเกาะ…หากแต่ว่างเปล่า เวิ้งว้าง
พร่ำเรียกร้องขอความช่วยเหลือ
ไร้เสียงขานรับ ที่นี่ไม่มีใคร ทุกคนเดินหนีหายไปไหนหมด
ยันกายลุกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ยังลุกไม่ได้
จิตใจเริ่มหวาดกลัว สับสน จะทำอย่างไรดี
ใจด้านหนึ่งบอกปล่อยไปตามยถากรรม
อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด พร้อมรับสภาพ
แต่ใจอีกด้านหนึ่ง บอกด้วยเสียงเกรี้ยวกราด ต้องสู้
สู้เท่านั้นจึงจะรอด
แค่คำว่า “สู้” คำเดียว มีพลังมหาศาลปลุกจิตให้ตื่นรู้ และฮึดสู้
ใช่ ใจที่รักตัวเอง และไม่ทิ้งตัวเอง เริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบและพร้อมสู้
รวบรวมพลังใจให้แกร่งกล้า
ยันกายลุกครั้งแล้วครั้งเล่ามิเคยย่อท้อ
ระลึกเสมอ”ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ในที่สุดก็สามารถยืนหยัดลุกขึ้นมา
นั่งพักเอาแรง แล้วลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด
พยุงตัวแล้วค่อยก้าวเดินผ่านมรสุมออกไป
พลังใจจากตัวเอง ถือเป็นยาวิเศษ ช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตไปได้
สะกิดใจบอกตน..จงจำไว้เสมอว่า เมื่อล้มก็ต้องลุก จะช้าจะเร็วก็ต้องลุกขึ้น
อย่าปล่อยตัวเองจมปลักอยู่กับที่
ใจพร้อมกายพร้อม…สู้เพื่ออยู่รอด
ข้อคิดสะกิดใจนี้ ผู้เขียนได้เขียนเมื่อ ๗ มิ.ย.๕๗ ในสมุดบันทึกของตัวเองที่รวบรวมไว้ในตู้หนังสือ เอามาเขียนบันทึกไว้เตือนตน และเป็นข้อคิดให้ลูกหลานได้อ่าน ย่าเคยผ่านมรสุมชีวิตด้วยพลังใจที่ฮึดสู้ คลายคลี่ปัญหามาได้
อร วรรณดา ๑๙-๐๙-๖๔
คนเราล้มได้ ก็ต้องลุกได้ค่ะ ยินดีด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
ถูกต้องแล้ว สู้เท่านั้น พอผ่านได้แล้วก็ยิ่งเข้มแข็งเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนรุ่นต่อไป สาธุ