เมื่อการศึกษาส่งเสริมวัฒนธรรมการข่มขืน


การข่มขืนในโรงเรียนมีบ่อยมากๆจนไม่มีใครรู้สึกตกใจอีกต่อไป แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่ที่เด็กผู้หญิงอายุอ่อนกว่าเกณฑ์ถูกข่มขืนโดยพวกแก๊งครูที่ชอบข่มขืนกระทำชำเราเด็ก ไม่ใช่ที่ครูคนอื่นๆพร้อมกันกันปกป้องคนชอบข่มขืนและคนที่มีอะไรๆกับเด็กว่าเป็นคนดีและเป็นพ่อบ้าน โดยการพิจารณาว่าอาชกรรมที่ชั่วร้ายเหล่านั้นเป็นเพราะเด็กสมยอมและกล่าวหาเหยื่อในการข่มขืนว่าเป็นหญิงชั่ว

นี่คือสิ่งที่มีการโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์: “ผู้คนทำผิดได้ทั้งนั้น ในฐานะที่เป็นเพื่อนครูร่วมวิชาชีพ เราต้องการถามว่าใครเรียกพวกเขาว่านักข่มขืน เพราะผู้หญิงสมยอม (consensual partners)

“ครูเหล่านี้เป็นผู้ชาย พวกเขาล้วนมีความต้องการทางเพศ หากเธอกลัวการข่มขืน จงสอนลูกๆคุณที่บ้าน อย่าส่งมาที่โรงเรียน”

“พวกเขามีครอบครัว หากพวกเขาติดคุก แล้วใครกันที่ส่งเสียดูแลครอบครัวของพวกเขา?”

“การข่มขืนเหรอ? แล้วไงล่ะ? การเอาโทษคนที่สอนคุณคือความอกตัญญูเนรคุณ”

สาธารณชนโมโหมาก และขอให้ตัดสินเรื่องนี้ด้วยความยุติธรรม พวกเขาไม่เพียงแต่ทำให้ตกใจกลัวด้วยอาชญากรรมที่ร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังถูกครอบงำด้วยตรรกะเชิงขี้โกงของครู, เพิกเฉยต่อกฎหมาย, และไม่รู้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด

ความเชื่อของสาธารณชนที่ว่าการเล่นพรรคเล่นพวก (nepotism) ดำรงอยู่ในระบบการศึกษา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจริยธรรมเชิงวิชาชีพและศีลธรรมขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำ

ระบบการเล่นพรรคเล่นพวกที่เป็นระบบก่อให้เกิดวัฒนธรรมของการไม่เอาผิด (ทั้งๆที่ผิดจริง) การข่มขืนในโรงเรียนเกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ครูที่ข่มขืนน้อยมากที่จะถูกลงโทษ หากมันไม่ก่อให้เกิดความโมโหจากสาธารณชนขนาดนี้ ครูที่ทำความผิดสามารถสอนได้ต่อด้วยระบบการเล่นพรรคเล่นพวก

สื่อสารมวลชนที่ทำเรื่องการข่มขืนได้ปลุกข้าราชการชั้นสูงในสพฐ.ให้มาพิจารณาเรื่องผู้ข่มขืนและคนที่ชอบร่วมเพศกับเด็กระหว่างการตรวจสอบ พวกเขาสัญญาว่าจะทำการสวบสวนครูที่กระทำชำเรา และยังเปิดทางกว้างๆไว้ว่าสิ่งนี้จะไม่มีผลในทางวินัย

อะไรกันเนี่ย? การสนับสนุนการข่มขืนไม่ได้ผิดกฎจริยธรรมหรอกหรือ?

ทำไมความรุนแรงทาวเพศจึงได้ดำรงอยู่ในระบบการศึกษา? พวกเราควรจะเชื่อถือคนที่เข้ามารับผิดชอบในการศึกษานี้หรือไม่?

แก๊งที่ทำการชำเราข่มขืนเกิดขึ้นในจังหวัดมุกดาหาร ตามการสอบสวนของตำรวจ แก๊งนี้ประกอบด้วยครูจำนวน 5 คน และนักเรียนเก่า 2 คน ทำการข่มขืนในบริเวณโรงเรียน เหยื่อมี 2 คน คืออายุ 14 และ 16 จะต้องทำตามคำสั่งเมื่อเรียกให้เข้ามาหา และปิดปากให้สนิท หรือมิฉะนั้นจะตกการสอบ และมีคลิปวิดีโอถ่ายตอนมีอะไรด้วยโพสต์ในทางออนไลน์ คนข่มขืนบางคนให้เงินหลังจากทำการกระทำชำเราแล้ว

ผู้ชายเหล่านี้ได้เอาเปรียบทางเพศกับผู้หญิงของเขา และทำให้โรงเรียนเป็นเหมือนกับซ่อง (brothel) แต่ครูอาวุโสและเพื่อนร่วมงานต่างเห็นว่าไม่มีความผิดกับเรื่องเหล่านี้ อาชญากรรมดำเนินไปปีกว่าๆ เป็นไปไม่ได้ที่ไม่มีคนรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และเรื่องก็แดงเมื่อยายของเหยื่อพบความจริงและแจ้งตำรวจ

การเล่นพรรคพวกครอบงำครูคนอื่นๆ โดยเฉพาะผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ความที่เพศหนึ่งมีอิทธิพลมากกว่าเพศหนึ่ง (เช่นเพศชายเหนือเพศหญิง sexism) และวัฒนธรรมการข่มขืนจะทำให้พวกเขากล่าวโทษเหยื่อว่าเป็นเด็กหญิงเลวและต้องการมีเพศสัมพันธ์ด้วย

 เงินจำนวนมากที่จ่ายภาษีส่วนหนึ่งไปสู่กระทรวงศึกษาธิการ เราจ่ายเงินมากกว่า 500 พันล้านบาทต่อปีไปให้เงินเดือนที่เหมาะสมกับครูข้าราชการ และบำนาญการครองชีพตลอดชีวิต พวเราควรจ่ายเงินที่เชื่อว่าการข่มขืนเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอ?

เรื่องอื้อฉาวที่มุกดาหรก่อให้เกิดความต้องการเชิงยุติธรรมจากสาธารณะ และทำให้โรงเรียนปลอดจากการความโหดร้ายทางเพศทุกชนิด

แต่ขอโทษที่ฉันดูคิดร้ายๆเสียหน่อย ฉันมองไม่เห็นว่าโรงเรียนจะปลอดภัยสำหรับเด็กได้อย่างไร หากระบบการศึกษายังมีลักษณะอำนาจนิยม (authoritarianism) และโรงเรียนเหมือนค่ายทหาร

การทำลายมายาคติที่ว่าจุดมุ่งหมายของระบบการศึกษาของเราคือการให้การศึกษาและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ มันเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น ภารกิจที่แท้จริงของการศึกษาคือการใส่อุดมการณ์ของรัฐที่มีลักษณะเหมือนกับความเชื่อฟังแบบทหาร โดยมีพื้นฐานอยู่ที่ความรักชาติมากเกินควร และการเหยียดผิว, ดำรงไว้ซึ่งช่วงชั้นทางสังคม, และทำให้ผู้หญิงอยู่แต่กับบ้านในครัว จุดมุ่งหมายของการศึกษาคือการดำรงไว้ซึ่งสถานภาพอำนาจผู้ชายเป็นใหญ่

การให้ความสำคัญกับเพศพ่อ, การให้เพศหนึ่งเหนือกว่าอีกเพศหนึ่ง, การกดขี่ทางเพศควบคุมผู้คนในสังคมแบบอำนาจนิยมเป็นใหญ่ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทำต่อเพศหญิง การข่มขืนทางโรงเรียน และความรุนแรงทางเพศแบบอื่นๆคือการปรากฏของวัฒนธรรมเชิงทหารและอำนาจนิยม ที่ได้ควบคุมระบบของโรงเรียน

อำนาจนิยมสั่งสอนให้ผู้คนยอมรับอำนาจ การที่เพศหนึ่งครอบงำอีกเพศหนึ่งทำให้เหยื่อที่ถูกกระทำชำเราเงียบเสียง เพราะหากเรื่องแดงออกไปจะถูกการตราหน้าทางสังคม ในขณะที่การเล่นพรรคเล่นพวกทำให้ผู้กระทำผิดปลอดภัยจากการกระทำผิด ดังนั้นวัฒนธรรมการข่มขืนยังมีอยู่ต่อไป

ต่อมามันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำโรงเรียนให้ปลอดภัยสำหรับเพศหญิง เพราะสังคมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้

ในการกระจายอำนาจมีเนื้อหาว่าหากชุมชนเข้ามามีการจัดการในโรงเรียนอาจช่วยให้โรงเรียนมีความโปร่งใส และช่วยพัฒนาโรงเรียน แต่จากการร่วมประชุมของชุมชน และการกระจายอำนาจมาสู่โรงเรียนในตอนนี้ไม่สามารถเป็นไปได้ การจัดการกระทรวงแบบบนลงล่าง และครูก็ยังหวงอำนาจไว้เหมือนเดิม

ในปัจจุบัน นโยบายของทุกๆโรงเรียนมาจากกระทรวงศึกษาฯในกรุงเทพฯ ชุมชนไม่สามารถเลือกได้ว่าใครจะมาสอนและสอนเรื่องอะไรกับเด็กๆของตน พวกครูเป็นเหมือนคนภายนอก ที่มาอยู่ในชุมชนเพื่อคำสั่งจากกระทรวง โดยรวมๆแล้วครูมีความสัมพันธ์กับชุมชนน้อยมากๆ

ในขณะที่หลักสูตรแห่งชาติจากกรุงเทพฯมองข้ามความหลากหลายทางชุมชนและประวัติศาสตร์ทิ้งไปหมด ครูสั่งสอนถึงเรื่องฝันในเมืองใหญ่และทำให้เด็กๆในชุมชนหลงลืมรากเหง้าทางวัฒนธรรม ในขณะที่การสอนแบบท่องจำทำลายการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) และช่องว่างที่ใหญ่โตในคุณภาพทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนในเมืองกับในชนบทยิ่งห่างมากขึ้นหรือเหลื่อมล้ำมากขึ้น

ความไม่สบายทางอารมณ์ในประเทศเกิดมาจากอคติและการแบ่งแยก พวกเขาจึงย้อนกลับไปดูว่าผู้คนถูกสั่งสอนมาอย่างไร?

สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา หนังสือประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมมากเกินไปล้างสมองนักเรียนให้คิดแต่ว่าประเทศไทยถูกครอบครองด้วยเชื้อสายเดียวนั่นคือเชื้อสายไทย

นี่เป็นสิ่งที่ผิด จริงๆแล้ว เชื้อสายที่ครอบครองไทยมาก่อนมาจากเชื้อสายหลายภาษาหลากวัฒนธรรม และเป็นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆก่อนที่คนที่พูดภาษาไทย ที่ถูกจีนรุกราน และเข้ามาถึงคาบสมุทรนี้เสียอีก

การคิดแบบตรงกันข้ามนี้ส่งผลโดยลบต่อ “ความเป็นไทย” ที่ได้รับมาจากกรุงเทพฯ

ไม่เพียงแต่อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ถูกทำลายเท่านั้น แต่ยังการคงอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ที่มีที่มาจากอำนาจนิยม ยังส่งผลให้รัฐบาลศูนย์กลางทำลายสภาพแวดล้อม และทรัพยากรการดำเนินชีวิตไปทั้งประเทศ โดยสรุปก็คือไม่สนใจต่อวิถีชีวิตของพวกเขา

ประวัติศาสตร์ที่เหยียดผิวทำให้คนที่อาศัยอยู่ในป่าและเป็นคนพื้นเมืองเป็นคนภายนอก และการประหารพวกเขาอย่างทารุณ การล้างสมองโดยการให้การศึกษาทำให้มองคนต่างชาติพันธุ์ว่าเป็นศัตรูต่อความมั่นคงของชาติ และทั้งสาธารณชนและสื่อต่างสนับสนุนความโหดเหี้ยม 

ในขณะที่การเหยียดผิวต่อมาเลย์มุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จริงๆแล้วเป็นการกดขี่ทางการเมือง จากรัฐบาลกลางที่ให้กำเนิดขบวนการแบ่งแยกด้วยตนเอง

โดยนัยยะเดียวกัน อคติเชิงชาติพันธุ์ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคือการใช้แรงงานอย่างเป็นทาสในอุตสาหกรรมประมงในเชิงการค้าขาย ทำให้ประเทศได้รับความอื้อฉาวไปทั้งโลก

ระบบการศึกษายังต่อต้านระบอบประชาธิปไตย เพราะว่ามันมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมอำนาจนิยม เลยทำให้ความเป็นประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก การให้โรงเรียนสมาทานความคิดแบบทหารยังทำให้เยาวชนรับรู้เรื่องอำนาจ และที่น่าเศร้าเข้าไปอีกคือรับเอาคุณค่าแบบอำนาจนิยมเข้ามาเป็นของตัว ดังนั้นการรัฐประหารจึงยังคงเป็นวิธีแก้ปัญหาในสังคมไทย

การเรียกร้องต่อการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเน้นไปที่ความต้องการการพัฒนาคุณภาพการศึกษานั้นตอนนี้ติดอยู่ลำดับท้ายๆในโลก โดยมากคำบ่นของความล้าหลังนี้มาจากการที่การศึกษาไม่สามารถฝึกคนให้มีลักษณะอย่างที่ตลาดแรงงานรองรับได้ แต่ข้อบกพร่องนี้ไม่สามารถบดบังความเป็นจริงได้ นั่นคือ การศึกษาให้ยาพิษแก่เยาวชน ในเรื่องการสั่งสอนความที่ชายเป็นใหญ่, ความเหนือกว่าทางเชื้อชาติ, และระบอบเผด็จการ

ครูที่ทำการข่มขืนจะต้องถูกนำมาสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ความรุนแรงทางเพศจะไม่หยุด ตราบที่เรายังไม่แก้ไขเรื่องการใช้อำนาจที่ผิด และการที่เอาเพศหนึ่งเหนือกว่าอีกเพศหนึ่ง ที่ปลูกฝังโดยระบบการศึกษา

แปลและเรียบเรียงข้อมูลจาก

Sanitsuda Ekachai. When education supports rape culture.

https://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/1919760/when-education-supports-rape-culture

หมายเลขบันทึก: 691499เขียนเมื่อ 13 กรกฎาคม 2021 18:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม 2021 18:47 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

Does this “จะทำการสวบสวนครูที่กระทำชำเรา และยังเปิดทางกว้างๆไว้ว่าสิ่งนี้จะไม่มีผลในทางวินัย” sum up the response by Thailand’s Ministry of Education (MoE) to the “Rape in school” issue?

Where is the “safe and enabling” facility to be provided to all children (by MoE’s policies)? People are sick and disgusted with empty words and empty actions.

We should be protesting for “safety in school”!

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท