บทความเรื่อง Decolonial science : Towards more equitable knowledge practices (1) นำผมไปสู่รายงานวิจัยที่ลงพิมพ์ใน Nature Ecology & Evolution เรื่อง Decoloniality and Anti-Oppressive Practices for a More Ethical Ecology (2) ที่ผู้เขียน ๒ คนอยู่ในประเทศอัฟริกาใต้ ๑ คนอยู่ในอเมริกา ผมสนใจที่นักวิจัยที่เขียนบทความ (1) เป็นนักมานุษยวิทยา และใช้มุมมองเชิงมานุษยวิทยาวิเคราะห์ระบบวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ของโลก
ระบบนิเวศทางวิชาการของโลกในปัจจุบัน อยู่ในสภาพไม่เท่าเทียม ที่รายงานวิจัยใน Nature Ecology & Evolution (2) ใช้คำรุนแรง ว่าเป็นสภาพเมืองขึ้นและการกดขี่ทางวิชาการ โดยที่ผู้เขียนใช้บริบทของอัฟริกาเป็นฐานในการเขียน แต่ผมคิดว่าเป็นจริงต่อบริบทไทยด้วย
เรื่องนี้สะท้อนมายาคติของวิชาการ ที่ครอบงำโดยวิธีคิดของฝรั่งยุโรป-อเมริกา ครอบงำทั้งวิธีคิดของคน และระบบความรู้ในมิติต่างๆ รวมทั้งระบบวารสารวิชาการ การให้น้ำหนักหรือคุณค่าของผลงานวิชาการ ที่มีส่วนทำให้นักวิชาการตั้งโจทย์วิจัยที่ไม่สอดคล้องกับบริบทและผลประโยชน์ของสังคมของตนเลย เป็นโจทย์วิจัยที่เมื่อได้ตีพิมพ์ก็มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับนับถือในวงวิชาการ แต่สังคมที่ตนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ประโยชน์
เป็นวิธีมอง ecology ทางวิชาการที่แหลมคมมาก ชี้ให้เห็นว่าวิชาการในปัจจุบันส่วนหนึ่งบิดเบี้ยว เนื่องจากระบบนิเวศทางวิชาการที่บิดเบี้ยว ครอบงำ กดขี่ และเอาเปรียบ (extracting)
ที่น่าสนใจมากคือ เขายกเอาข้อมูลหลักฐานทางวิชาการมาอ้างอิง จนสามารถเขียนบทความวิชาการเชิงเคลื่อนไหวได้ รวมทั้งวารสารวิชาการชั้นยอดอย่าง Nature Ecology & Evolution ก็รับลงพิมพ์เสียด้วย โดยเขาเดินเรื่องเรียกร้องให้ดำเนินการ ๕ ด้านคือ (๑) ปลดปล่อยความคิดออกจากการถูกครอบงำในฐานะเมืองขึ้น, (๒) รู้ประวัติศาสตร์ของตนเอง, (๓) ทำงานวิชาการเป็นทีมอย่างเท่าเทียมกัน, (๔) ลดทอนความเป็นเมืองขึ้นด้านทักษะความรู้, (๕) ลดทอนความเป็นเมืองขึ้นด้านการเข้าถึงความรู้
ในภาพรวมคือ นิเวศจริยธรรมลดทอนความเป็นเมืองขึ้น (decolonial ecological ethics)
วิจารณ์ พานิช
๒๗ มิ.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น