โรงเรียนไทยมีแนวโน้มจะตราเด็กว่าเป็น “เด็กพิเศษ” เกินความเป็นจริงหรือไม่ เป็นคำถามของผมมานาน เพราะผมได้เรียนรู้ว่าหากเด็กคนใดถูกตราว่าเป็น “เด็กพิเศษ” ก็จะไม่นับเข้าในสถิติผลโอเน็ต เท่ากับว่าระบบการศึกษาไทยอนุญาตให้ทิ้ง “เด็กพิเศษ” ได้ ไม่ทราบว่าความคิดอย่างนี้ของผมตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ ผมจึงลองค้นดู
บทความเรื่อง We Need to Rename ADHD (๑) บอกเราว่า เด็กที่มีพฤติกรรมแตกต่างไปจากเด็กทั่วไป ไม่ว่าจะแตกต่างแบบใด มักถูกตราไปในทางที่ทำให้เด็กเสียโอกาสเสมอ
นพ. ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา แห่งสถาบันราชานุกูลเขียนเรื่อง เด็กพิเศษ ไว้อย่างดีมาก (๒) ว่าหมายถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษ อาจเป็นเพราะเขามีสมองดีเยี่ยมเป็นพิเศษ หรือเพราะเขามีสมองบกพร่อง ก็ได้ ท่านบอกว่า “เด็กพิเศษ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
- เด็กที่มีความสามารถพิเศษ
- เด็กที่มีความบกพร่อง
- เด็กยากจนและด้อยโอกาส”
นิยามนี้น่าจะเตือนสติครูว่า ให้ระวังให้จงหนักว่า อย่าทึกทักเด็กที่มีความสามารถพิเศษ เป็นเด็กที่มีความบกพร่อง และปฏิบัติต่อเขาผิดๆ
และต้องเข้าใจเด็กพิเศษกลุ่มที่สาม ว่าเกิดจาก “สังคมทำ” หรือ “พ่อแม่ทำ” โดยที่ครูมีโอกาสช่วยปรับให้เขามีชีวิตปกติได้ นี่คือหน้าที่ และคุณค่ายิ่งใหญ่ของครู
กลับไปที่เด็กกลุ่มแรก คุณหมอทวีศักดิ์ บอกว่า วงการศึกษามักละเลยโอกาสส่งเสริมให้ความสามารถพิเศษนั้นงอกงาม และทำประโยชน์แก่โลกแก่สังคมได้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
มีเว็บไซต์แนะนำวิธีหนุน gifted students ไว้ ๕ ประการ (๓) คือ (๑) ทำความเข้าใจความคิดของเด็กเหล่านี้ (๒) มอบงานที่แตกต่างกัน เหมาะต่อเด็กแต่ละกลุ่ม (๓) จัดห้องสมุดในชั้นเรียนที่มีเอกสารหลายระดับ เพื่อให้ท้าทายนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ (๔) ใช้ประโยชน์ความสามารถพิเศษของนักเรียน (๕) หาทางให้ได้ประยุกต์วิชาความรู้ในชีวิตจริง
กลับมาที่เด็กกลุ่มที่สองของคุณหมอทวีศักดิ์ กลุ่มที่ระบุใน Scientific American (๑) คือกลุ่มที่ถูกตราว่าเป็น ADHD – Attention-Deficit, Hyperactive Didorders ที่มีหลักฐานบอกว่า บริษัทผลิตยาจงใจกระตุ้นให้มีการวินิจฉัยเด็กที่เป็นโรคนี้เกินจริงถึง ๓ เท่า คือในสหรัฐอเมริกา เด็กราวๆ ร้อยละ ๕ เป็นโรคนี้ แต่เด็กถึงร้อยละ ๑๕ ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ (๔) ส่งผลให้มีการสั่งยาให้แก่เด็กที่ไม่ได้เป็นโรคจริง เพื่อผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้องตามคุณธรรมของบริษัทยา
เว็บไซต์ของ NIH ให้นิยามของ ADHD ไว้ที่ (๔) และมีข่าวโจมตีบริษัทยาที่พยายามทำให้ ได้รับการวินิจฉัยในผู้ใหญ่ เพื่อขายยา (๕) จากหากินกับเด็กสู่หากินกับผู้ใหญ่ ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใครนะครับ
อย่างไรก็ตาม ADHD ของจริงมีอยู่ และ US CDC ให้คำแนะนำที่ดีมาก (๖) และเป็นวิธีการที่ไม่ยาก น่าที่จะมีเครือข่ายโรงเรียนไทยที่มุ่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนเป็นตัวอย่างได้ และมีการสร้างศาสตร์บนฐานของการปฏิบัติขึ้นในบริบทไทย
จะเห็นว่า เรามีโอกาสสร้างสรรค์วิธีการ และวิชาการ เพื่อแก้ปัญหาเด็กพิเศษ ได้มากมาย ที่สำคัญคือ ก่อคุณค่าแก่สังคมเหลือคณา นักการศึกษาที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจากการทุ่มเททำงานช่วยเหลือเด็กพิเศษท่านหนึ่งที่ผมรู้จักคือ รศ. ดร. ดารณี อุทัยรัตนกิจ แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิจารณ์ พานิช
๓๐ พ.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น