บ่ายวันเสาร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๔ ผมได้รับเชิญเข้าร่วม วงเสวนาสาธารณะ “Empowered Educators ปั้นครู เปลี่ยนโลก : ถอดนโยบายสร้างครูแห่งศตวรรษที่ 21” ในโอกาสเปิดตัวหนังสือ ปั้นครู เปลี่ยนโลก (๑) โดยมีวิทยากรตามในแผ่นโฆษณา ดังภาพ
มีการเตรียมการประชุมอย่างมืออาชีพ สามวันก่อนงานผู้ประสานงานก็ส่งเอกสารประเด็นคำถาม และขั้นตอนของรายการ มาให้ ผมชมว่าเตรียมตัวดีมาก และขอพูดเป็นคนสุดท้ายในทุกรายการ ด้วย ๓ เหตุผลคือ ผมเป็นวิทยากรที่แก่ที่สุด ล้าสมัยที่สุด และรู้น้อยที่สุด เพราะผมไม่ใช่นักการศึกษา แต่ข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการตอบรับ ผมก็ปล่อยเลยตามเลย และข้อเขียนต่อไปนี้ส่วนใหญ่เป็นข้อความที่เตรียมไว้ล่วงหน้า แต่ตอนพูดจริงได้พูดบ้าง ไม่ได้พูดบ้าง และพูดในมุมอื่นบ้าง ว่าไปตามสถานการณ์
ประเด็นแรก - ทำไม “ครู” จึงเป็นคำตอบของระบบการศึกษา
คำตอบของผมคือ เพราะการเรียนรู้ที่แท้เป็นกระบวนการทางสังคม (socialization process) หรือกระบวนการที่เกิดจากมนุษย์สัมผัสมนุษย์ ไม่ใช่เกิดจากกระบวนการถ่ายทอดความรู้อย่างที่เข้าใจผิดกันมานาน ครูทำหน้าที่สร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ให้แก่ศิษย์ ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างแรงบันดาลใจต่อการเรียนรู้ เห็นคุณค่าของการเรียนรู้ ให้แก่ศิษย์ แล้วออกแบบกิจกรรมให้นักเรียนทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้บูรณาการของตน เพราะการเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดจากการปฏิบัติหรือการกระทำตามด้วยการคิด ในลักษณะใคร่ครวญสะท้อนคิดจากข้อมูลที่สังเกตเห็นจากการปฏิบัติของตน ที่เรียกว่า reflection
มองอีกมุมหนึ่ง เพราะการเรียนรู้ (หรือการศึกษา) เป็นการสร้างคุณภาพพลเมือง และคุณสมบัติสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของพลเมืองในปัจจุบันและอนาคต คือความเป็น “พลเมืองผู้กระทำการ” (active citizen) หลุดพ้นจากการเป็น “พลเมืองผู้เฉื่อยชา” (passive citizen) ผู้หวังรอความช่วยเหลือ “ครูผู้ก่อการ” (agentic teacher) จึงเป็นผู้ทำหน้าที่สร้างพลเมืองนักกระทำการโดยไม่รู้ตัว ผ่านการเรียนแบบ “ลงมือทำ” (active learning) ที่กล่าวแล้ว และผ่านการทำตัวเป็นแบบอย่าง
ตอบเชื่อมโยงกับหนังสือ ปั้นครู เปลี่ยนโลก ว่า เพราะตามในหนังสือดังกล่าว ระบบการศึกษาคุณภาพสูงที่สุดในโลก ๕ ประเทศ ๗ พื้นที่ ครูทำหน้าที่ ไม่เพียงจัดการเรียนรู้แก่ศิษย์ หรือพัฒนาศิษย์เท่านั้น ยังทำหน้าที่จัดกระบวนการเรียนรู้แก่ตนเอง และแก่เพื่อนร่วมโรงเรียนด้วย โดยกระบวนการที่เรียกว่า PLC ครูจึงมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาครูและการพัฒนาโรงเรียน
ตามในหนังสือ ปั้นครู เปลี่ยนโลก ครูทำหน้าที่ พัฒนาศาสตร์ว่าด้วยความเป็นครู ผ่านการทำงานพัฒนาและวิจัยจากการปฏิบัติหน้าที่ประจำวันของตน ในระบบการศึกษาสมัยใหม่ ครูจึงต้องเป็นนักวิจัย หลักสูตรผลิตครูในประเทศเหล่านี้จึงเน้นการฝึกทักษะการวิจัยด้วย
ในหลายประเทศตามในหนังสือ ระบุว่า ครูต้องมีบทบาทพัฒนาผู้ปกครองนักเรียน และพัฒนาชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ด้วย
เมื่อครูทำหน้าที่ พัฒนาศิษย์ พัฒนาตนเอง พัฒนาเพื่อนครู พัฒนาโรงเรียน พัฒนาผู้บริหาร พัฒนาศาสตร์ พัฒนาผู้ปกครองนักเรียน และพัฒนาชุมชน (องค์แปดแห่งการพัฒนา หรือมรรคแปดในการทำหน้าที่ครู) ครูจึงเป็นผู้นำในวิชาชีพ ทำหน้าที่พัฒนาวิชาชีพครู และพัฒนาระบบการศึกษา ด้วย รวมเป็นมรรคสิบ
ถึงตอนอภิปรายจริง คำตอบที่เตรียมไว้ข้างบนแทบไม่ได้พูด เพราะวิทยากรท่านอื่นพูดดีมาก ดร. ประวิตบอกว่า ครูต้องช่วยให้นักเรียนเชื่อมโลกจริงกับโลกเสมือนได้อย่างสมดุล ดร. ดารณี บอกว่าครูยิ่งมีความจำเป็นยิ่งขึ้น เพราะต้องช่วยเป็นที่พึ่งทางใจ และช่วยแก้ปัญหาแก่นักเรียนในกรณีที่มีปัญหา ดร. ภูมิศรัณย์ชี้ว่า การศึกษาไม่ได้เรียนเฉพาะด้านวิชาการ ยังมีเรื่อง 21st Century Skills อีกชุดใหญ่ รวมทั้ง competencies สำคัญๆ
ประเด็นที่ ๒ - เรียนรู้นโยบายสร้างครูจากระบบการศึกษาชั้นนำของโลกในหนังสือ และย้อนมองนโยบายสร้างครูของระบบการศึกษาไทย
[ศ.นพ.วิจารณ์ / รศ.ดร.ดารณี] ในฐานะผู้ที่อยู่ในวงการวิชาชีพครู บุคคลผู้มีศักยภาพจะเป็นครูควรมีคุณสมบัติอย่างไร หรืออยาก ได้คนแบบไหนเข้ามาในวิชาชีพ คำตอบของผมคือ (๑) รักเด็ก มีความสุขจากการการได้เห็นการเติบโตและความสำเร็จในชีวิตของศิษย์ (๒) รักอาชีพครู (๓) เข้ามาเป็นครูเพื่อเป็น “ผู้ให้” มากกว่าเข้ามาตักตวงผลประโยชน์เข้าตัว (๔) เป็นคนรักการเรียนรู้ รักการทำงานที่ท้าทาย ต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ทำงานตามสูตรสำเร็จ
การเสวนาก้าวสู่ประเด็นว่าทำไมจึงเกิดกรณีครูใหม่ที่มีไฟในการทำงานเต็มเปี่ยม แต่เมื่อเข้าไปทำงานที่โรงเรียน ไม่ถึงปี ก็หมดไฟ ที่ผมชี้ว่า ระบบการศึกษาคุณภาพสูงใน ๕ ประเทศตัวอย่าง ระบบนิเวศของการทำงาน เอื้อ หรือส่งเสริมคนทำงานสร้างสรรค์ แต่ระบบของเราเอื้อต่อคนที่ทำงานในรูปแบบเดิมๆ ต้องการดำรงสภาพเดิม ใครมาทำงานสร้างสภาพใหม่ก็จะถูกกระแนะกระแหน และขัดขวาง
[รศ.ดร.ประวิต/ ศ.นพ.วิจารณ์] ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในหนังสือคือ ครูในประเทศเหล่านี้มีเวลาว่างจากชั่วโมงสอนค่อนข้างเยอะ จึงมีเวลาพัฒนาการเรียนรู้และแสดงศักยภาพ แล้วครูไทยมีเวลาว่างจากชั่วโมงสอนมากน้อยแค่ไหน และเราควรสร้างโอกาสให้ครู ได้พัฒนาการสอนและศักยภาพของตนอย่างไรให้เหมาะสมกับบริบทโรงเรียนไทย ผมต้องขออภัยที่ต้องตอบตรงๆ เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันของท่านผู้ฟังว่า โจทย์หรือคำถามนี้ผิด คำว่า “มีเวลาว่างจากชั่วโมงสอนค่อนข้างเยอะ” มาจากวิธีคิดแบบเดิมๆ ที่ผิด คิดว่าเวลาทำงานของครูคือเวลาสอน นอกนั้นไม่ใช่หน้าที่ครู นี่คือความเข้าใจที่ผิด ผมได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าหน้าที่ครูมี ๑๐ ประการ เวลาทำหน้าที่ “พัฒนาการสอนและศักยภาพของตน” และหน้าที่อื่นๆ อีก ๘ ประการนั้น ถือเป็นเวลาของการทำงานทั้งสิ้น ระบบการศึกษาคุณภาพสูงจึงต้องจัดเวลาให้ครูได้ทำหน้าที่เหล่านั้นอย่างเหมาะสม รวมทั้งมีมาตรการ และทรัพยากร สนับสนุนด้วย
แนวความคิดนี้ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ร่วมเสวนาทุกท่าน
การมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย
[ศ.นพ.วิจารณ์ / รศ.ดร.ดารณี] ทุกวันนี้ครูมีบทบาทแค่ไหนในการตัดสินใจเรื่องการจัดการเรียนการสอน ทั้งประเด็นหลักสูตร เนื้อหา วิธีการสอน ตลอดจนนโยบายการศึกษาที่สำคัญ เช่น การเรียนการสอนในภาวะโรคระบาดโควิด-19 ที่จริงผมไม่รู้ความเป็นไปในระบบการศึกษาไทย แต่เท่าที่สังเกต โรงเรียนที่ผู้บริหารและครูพร้อมใจกันทำเพื่อนักเรียน สามารถตัดสินใจได้โดยมีข้อจำกัดน้อยมาก ปัญหาที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่ผู้บริหารและครูส่วนใหญ่ ไม่มีสมรรถนะของ agentic headmaster และ agentic teacher มากกว่า รวมทั้งระบบการบริหารส่วนกลางก็ไม่เอื้อ หรือไม่กระตุ้น
วงเสวนาเห็นพ้องกันว่า ข้อด้อยของระบบการศึกษาไทยคือ มีการจัดการแบบรวมศูนย์มากเกินไป กำหนดให้ครูและโรงเรียนต้องปฏิบัติตามสูตรสำเร็จมากเกินไป แต่ผมก็ให้ข้อสังเกตว่า ครูสามารถแสดงบทบาทกำหนดนโยบายของโรงเรียน และในห้องเรียน ในฐานะนโยบายเพื่อการปฏิบัติ เพื่อการบรรลุผลลัพธ์การศึกษาคุณภาพสูง ในบริบทนี้ ผมคิดว่าครูไทยทำได้โดยไม่มีข้อจำกัดกีดกั้น แต่ก็ไม่มีการ empower ในระดับประเทศ อย่างในหนังสือ
[ศ.นพ.วิจารณ์ / ดร.ภูมิศรัณย์] ด้วยบริบทของระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน เราควรจะจัดสรรน้ำหนักอำนาจการตัดสินใจจากด้านบนหรือกระทรวงศึกษาธิการ กับอำนาจการตัดสินใจของครูในพื้นที่ต่างๆ อย่างไร นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดของระบบการศึกษาไทย ที่ระบบของเรารวมศูนย์อำนาจมากไป จนมีผลทำให้ครูและผู้บริหารโรงเรียนไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจ นานๆ เข้าทักษะในการคิดและตัดสินใจก็ฝ่อไป ตามในหนังสือ ระบบการศึกษาคุณภาพสูงเอาใจใส่เรื่องการ empower ครูตามชื่อหนังสือทั้งสิ้น แม้ในบางระบบจะคุ้นเคยกับอำนาจรวมศูนย์ทางการปกครอง เขาก็พยายามแก้ในระบบการศึกษา ผมเคยได้ยินว่าในออสเตรเลีย บุคลากรส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการมีจำนวนเป็นร้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นหมื่นอย่างของเรา ไม่ทราบว่าเท็จจริงแค่ไหน
ความเสมอภาคทางการศึกษา
[ศ.นพ.วิจารณ์ / ดร.ภูมิศรัณย์] แนวทางที่ประเทศไทยควรใช้เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาคืออะไร ทั้งเชิงนโยบาย และเชิงโรงเรียน ผู้รู้คือ ดร. ภูมิศรัณย์ เพราะทำงานทั้งในกระทรวงศึกษาธิการ และใน กสศ. ผมมีความเห็นกว้างๆ ว่า สาระภาพรวมในหนังสือเล่มนี้บอกชัดเจนว่า ระบบการศึกษา และระบบสมรรถนะครู ต้องตำนึงถึงสาเหตุของความไม่เสมอภาคหลากหลายด้าน และมีวิธีทำงานเพื่อเอาชนะความไม่เสมอภาคนั้น เพื่อให้นักเรียนทุกคนบรรลุผลลัพธ์ทางการศึกษาตามที่กำหนด กล่าวง่ายๆ ระบบการศึกษา และตัวครูต้องมีวิธีให้แต้มต่อ หรือความช่วยเหลือพิเศษแก่นักเรียนที่ด้อยกว่าเพื่อนๆ ดังกรณีฟินแลนด์มี “ระบบการศึกษาพิเศษ” ช่วยนักเรียนที่เรียนไม่ทันเพื่อน นักเรียนในการศึกษาภาคบังคับ ๙ ปี ในภาพรวมร้อยละ ๓๐ เคยใช้บริการระบบนี้ (๓)
แต่ในระบบการศึกษาไทย ความไม่เสมอภาคอยู่ในระบบการจัดสรรทรัพยากร ที่โรงเรียนของเด็กจากครอบครัวฐานะดีได้รับงบประมาณสนับสนุนมากกว่า ตรงกันข้ามกับที่ระบุในหนังสือ ที่เขาจัดให้มากน้อยตามระดับความต้องการ
พิจารณาภาพรวมระบบการศึกษาไทย
[ศ.นพ.วิจารณ์] จุดเด่นหรือข้อดีของระบบการศึกษาไทยคืออะไร และข้อด้อยหรืออุปสรรคของระบบการศึกษาไทยคืออะไร ขอย้ำว่าเป็นการมองเชิงระบบนะครับ ผมมองว่าจุดเด่นหรือข้อดีกับข้อด้อยหรืออุปสรรคของระบบการศึกษาไทยอยู่ที่เดียวกัน คือเรื่องทรัพยากรที่จัดสรรให้อย่างเพียงพอ และบุคลากรมีคุณวุฒิสูง นี่มองภาพใหญ่นะครับ หากมองแจงย่อย เราก็จะพบว่าการจัดสรรทรัพยากรและการกระจายบุคลากรไม่ทำให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างที่ ๕ ประเทศในหนังสือเขาทำกัน
แต่เมื่อมองในมิติที่ลึก จะเห็นว่าวิธีใช้ทรัพยากรมีปัญหามาก ไม่ก่อ productivity คือผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับสูงได้อย่างใน ๕ ประเทศตัวอย่าง หนังสือที่ให้ภาพความอ่อนด้อยนี้ชัดเจนมากคือ World Development Report 2018 ของธนาคารโลก ที่ผมตีความเอามาเผยแพร่ที่ (๔) ซึ่งสรุปได้ว่า ในระบบการศึกษาไทย ทรัพยากรถูกเบี่ยงเบนเอาไปใช้ประโยชน์ของผู้อื่นเสียมาก ตกไปถึงผลประโยชน์ของนักเรียนน้อย ลองเข้าไปอ่านดูเถิดครับ จะเห็นว่าการแก้ปัญหาการศึกษาไทยต้องการการปฏิรูป หรือ re-engineering อย่างแท้จริง ไม่ใช่ปะผุอย่างใน ๗ ปีที่ผ่านมา
ข้อแตกต่างของระบบการศึกษาไทย กับระบบการศึกษาคุณภาพสูงสุดของโลก ๕ ประเทศ คือ ระบบความก้าวหน้าทางวิชาชีพของเราไปผิดทาง เอื้อแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวของครูและผู้บริหาร ไม่เอื้อต่อการพัฒนผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ระบบของเราแข็งตัวเกินไป และการเลื่อนระดับขึ้นกับ “ผลงาน” หลอกๆ ไม่ยึดโยงกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ดร. ประวิตบอกว่า กคศ. กำลังแก้ไขจุดอ่อนนนี้
หนทางไปต่อของระบบการศึกษาไทย
[ถามทุกท่าน] ระบบการศึกษาไทยควรไปต่ออย่างไร ปัญหาที่เราควรแก้ไขในระยะสั้นคืออะไร และเป้าหมายของเราในระยะยาวของเราคืออะไร มีแนวทางใดจากหนังสือเล่มนี้ที่น่านำมาปรับใช้ ควรทำ ๒ ระดับที่เชื่อมโยงกัน คือระดับการจัดการระบบ ควรกระจายอำนาจไปยังโรงเรียนและพื้นที่ และควรเน้นการสนับสนุนโรงเรียนมากกว่าควบคุมสั่งการ
ในระดับโรงเรียน เราโชคดีที่มีโรงเรียนจำนวนหนึ่ง อาจจะเกือบๆ หนึ่งพันโรงเรียนจากจำนวนทั้งสิ้นสามหมื่น ที่เปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนและการทำงานในโรงเรียนตามแนวในหนังสือเล่มนี้ ที่ครูร่วมกันหาทางยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบ active learning ควรมีมาตรการค้นหาโรงเรียนเหล่านี้ และเข้าไปวัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อหาทางหนุนให้ครูและโรงเรียนบรรลุเป้าหมายที่ตนใฝ่ฝันได้ดียิ่งขึ้น
ประเด็นหนึ่งที่ควรใส่เพิ่มเข้าไปในโรงเรียนเหล่านี้ คือการจัดการเรียนรู้ที่นักเรียนได้รับความท้าทายสูง ครูและผู้เกี่ยวข้องช่วยหาวิธีหนุนให้นักเรียนทำได้สำเร็จ จะเป็นการสร้างพลเมืองที่ “ใฝ่รู้ สู้สิ่งยาก” (คำของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประยุทธ ปยุตฺโต) เป็นพลเมืองคุณภาพสูง
ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาจาก OECD บอกผมว่า ครูไทยใส่ความยาก หรือความท้าทายให้แก่บทเรียนน้อยไป เพราะเกรงว่านักเรียนจะเครียด ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิด ครูที่เก่งคือครูที่ให้ความคาดหวังต่อนักเรียนสูง ท้าทายสูง แล้วช่วยหนุนให้ทำสำเร็จ และเกิดความสุขจากความสำเร็จ ทำให้นักเรียนมีนิสัยชอบความท้าทาย ติดตัวไปเป็นพลเมืงที่เข้มแข็ง
ในการประชุม ไม่ได้แตะประเด็นนี้
วิจารณ์ พานิช
๔ เม.ย. ๖๔ ปรับปรุง ๕ เม.ย. ๖๔
ไม่มีความเห็น