ได้ยินบ่อยๆว่าปัญหาการจัดการศึกษาเราอยู่ที่ระบบ ถึงจะพิถีพิถัน เข้มข้น ในการเฟ้นคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นครู จนได้แต่ดีเลิศทั้งนั้นแล้วก็เถอะ แต่ถ้าระบบยังเป็นอยู่อย่างนี้ ก็ยากจะแก้ไขเยียวยา เพราะสุดท้ายระบบใหญ่จะกลืนกินความรู้ ความสามารถ ตลอดจนความมุ่งมั่นตั้งใจของคนรุ่นใหม่ไปจนหมดสิ้น ไม่ต่างจากคนรุ่นเก่า
ครูรุ่นเก่าหรือครูผู้อาวุโสทั้งหลาย มักตกเป็นแพะรับบาปในกรณีนี้เสมอด้วยข้อหา “คุณภาพครู” ซึ่งหมายถึงภาพรวม มิใช่บุคคลรายใดรายหนึ่ง เพราะแน่นอนว่าทุกกลุ่มคนย่อมมีไม่ดีหรือจ้องจะเอาแต่เงินเดือนผสมกลมกลืนอยู่ด้วยเป็นธรรมดา
ระบบที่ว่าเป็นปัญหาไม่น่าใช่ระเบียบ กฎ กติกา หรือระเบียบบริหารราชการอะไร แต่น่าจะอยู่ที่พฤติกรรมการทำงานของคน โดยเฉพาะระดับบริหาร เนื่องจากความรับผิดชอบงานที่ครอบคลุมแทบทุกประเด็นในตำแหน่งหน้าที่ แถมขาดการประเมินตรวจสอบอย่างจริงจัง “ครูไม่ดีการศึกษาอาจแย่เป็นจุด บริหารไม่ดีการศึกษาจะแย่ไปเป็นแถบๆ”
ระเบียบหรือนโยบายส่วนใหญ่ใช้ได้ทั้งนั้น แต่พอมาสู่การปฏิบัติ ซึ่งมักไม่ตรงไปตรงมา เน้นแต่หน้าตา เมินเนื้อหาสาระแท้จริง เอื้อแต่พวกพ้องหรือผู้ประจบสอพลอ อย่างนี้งานสำคัญหรือการพัฒนาเด็กจะสำเร็จจริงได้อย่างไร “เน้นแค่เปลือก ทำแค่เปลือก ก็สำเร็จแค่เปลือก” เห็นมากๆเข้าอดเปรียบเทียบกับพฤติกรรมการทำงานของนักการเมืองผู้หวังแต่ประโยชน์และคะแนนเสียงอันน่ารังเกียจไม่ได้
ครูเก่ามักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอ่อนล้าหัวใจ เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ งานสอนเด็กในชั้นเรียนตัวเองเท่านั้นที่ยังมีความสุขดี สุขกับความสดใสบริสุทธิ์ของเหล่าลูกศิษย์ ขณะงานอื่นๆ ผู้ที่มีอำนาจ หรือระบบที่ประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันต่างหากล้วนหนักอึ้ง
น่าแปลกไหม? หากคิดตามธรรมชาติคน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ปฏิสัมพันธ์ต่างๆไม่ว่ากับอะไร ถ้าเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีส่วนใหญ่ก่อให้เกิดความผูกพันด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นการทำหน้าที่ครูอันทรงเกียรติยาวนานมาตลอดชีวิต แต่เรื่องจริงแล้วความรู้สึกทางใจที่เกิดกลับตรงกันข้าม จะว่าวัยหรืออายุมีส่วนคงไม่ผิด ทว่ามิใช่แค่ครูผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งหรือบางคนเท่านั้นที่รู้สึก แต่นี่แทบจะทั้งนั้นที่มีอารมณ์ร่วมลักษณะนี้
พอจะเป็นหลักฐานร่องรอยได้หรือเปล่า ว่าปัญหาการจัดการศึกษาอยู่ที่ระบบ ไม่ใช่คุณภาพครูที่ชอบกล่าวอ้าง อยากพิสูจน์คงต้องติดตามดูอารมณ์ความรู้สึกการปฏิบัติหน้าที่ของครูรุ่นใหม่ๆต่อไป ขืนระบบยังเป็นอย่างทุกวันนี้
ไม่มีความเห็น