วิเคราะห์พฤติกรรมตัวละคร จาก เรื่องต้นส้มแสนรัก


 ครอบครัว เปรียบเสมือนสถาบันแรกที่คอยฟูมฟักและให้การอบรมสั่งสอนเยาวชน เยาวชนจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอน การเอาใจใส่และการให้ความรักของคนในครอบครัว ดังนั้น ปัจจัยสำคัญของการเติบโตนั่นคือ ปัจจัยทางด้านครอบครัว  ต้นส้มแสนรัก เรื่องราวเกี่ยวกับเซเซ่ เด็กชายช่างจินตนาการ ที่สร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมาทดแทนการขาดความอบอุ่น และการต้องการความรักจากคนในครอบครัว พฤติกรรมของคนในครอบครัวซึ่งมีตัวละครสำคัญคือ พ่อของเซเซ่ ชายชาวบราซิลหาเช้ากินค่ำ บุคคลที่เซเซ่ ใกล้ชิดและชอบลอกเลียนแบบพฤติกรรมด้านลบ และลุงโปรตุก้า พ่อในอุดมคติของเซเซ่ คนที่คอยตักเตือนและให้กำลังใจเซเซ่ ตัวละครทั้งสองตัวละครมีผลต่อพฤติกรรมของเซเซ่ในทางที่แตกต่างกัน สามารถเปรียบเทียบได้ดังนี้

นายเปาโล พ่อของเซเซ่

นายเปาโล พ่อของเซเซ่  เป็นตัวละครหลายลักษณะ เป็นชายชาวบราซิล เป็นคนใจร้อน อารมณ์ร้าย พูดจาหยาบคาย วุฒิภาวะทางอารมณ์ค่อนข้างต่ำ จนทำให้พาลทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว แต่งงานกับแม่ของเซเซ่ ที่เป็นชาวอินเดียน และมีลูกด้วยกันหลายคน จนทำให้ต้องยกให้ครอบครัวอื่นรับไปเป็นบุตรบุญธรรม จากบทสนทนาระหว่างเซเซ่กับพี่ชาย แสดงให้เห็นว่า พ่อของเซเซ่มักจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีให้เซเซ่เห็นและจดจำมาทำตาม “ถ้างั้นลุงก็เป็นไอ้สัตว์กะ..” “นี่ๆฟังนะนายโดนตบปากก็เพราะพูดคำหยาบมาแล้ว ลุงเอ็ดมันโดไม่ได้เป็นอย่างนั้น พี่บอกเพียงแค่ว่าลุงเป็นคนบ๊อง บ้าๆบอๆเท่านั้น” “ก็พี่พูดว่าลุงรอบพูดโกหกนี้”“ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน”“ เกี่ยวซิเมื่อวันก่อนพ่อพูดกับลุงเซเวริโนคนที่เล่นแอสโกปาและไพ่ป๊อกด้วยกันเขาพูดถึงลุงลาบอนน์ว่า“ ไอ้แก่ไอ้สัตว์กะหมา.. ไอ้คนโกหก.” “แต่ไม่เห็นมีใครตบปากเขาเลย”(หน้า ๒๗) จากสภาพอารมณ์ของเขาทำให้เขาล้มเหลวกับชีวิตการทำงานเนื่องจากการทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน “นายก็อยากรู้ทุกอย่างแต่ไม่เคยสังเกตบ้างเลยหรือว่าที่บ้านกำลงมีเรื่องพ่อตกงานใช่ไหมเพราะเมื่อหกเดือนที่แล้วไปทะเลาะกับคุณสก็อตฟิลด์ก็เลยถูกไล่ออก” (หน้า ๒๙)    

เซเซ่แสดงออกให้เห็นว่ารักแม่มากกว่าพ่อ ทั้งนี้เพราะ แม่ของเซเซ่เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนเซเซ่ด้วยความรักที่อ่อนโยน แต่ติดตรงที่แม่มักไม่มีเวลาให้ เพราะต้องออกไปทำงานนอกบ้านหาเงินจุนเจือครอบครัว     “แม่ล่ะ” “แม่นะดี๊ดี แม่ไม่อยากตีฉันหรอกแต่เมื่อต้องลงมือแม่ก็ดีไม่เจ็บหรอก”“ พ่อล่ะ "“ พ่อนะรึ เอ.. ก็ไม่รู้เหมือนกันพ่อโชคร้ายอยู่เรื่อยเเป็นแบบหมือนฉันซึ่งเป็นคนไม่ดีของครอบครัว”(หน้า ๖๗-๖๘) เซเซ่จึงมีโอกาสอยู่กับพ่อที่อยู่ในช่วงตกงานมากกว่า หลายครั้งที่เขามักโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดพ่อ  เพราะพ่อลงไม้ลงมือกับเขามากกว่าแม่ และไม่ค่อยให้ความรักความเข้าใจเขาเท่าแม่ เซเซ่จึงซึมซับพฤติกรรมของพ่อทีละเล็กทีละน้อย จนทำให้บางครั้งเขาหลุดคำพูดที่ไม่เหมาะสมออกมา “ความเกลียดความคับแค้นและความเศร้าประดังเข้าเต็มหัวใจผมร้องตะโกนอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ว่า“ มีพ่อจนๆนี่มันแย่จริงๆนะ” (หน้า ๗๑) คำพูดของเซเซ่กระทบจิตใจผู้เป็นพ่ออย่างมาก เขาไม่ได้แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดเพราะคงนึกรู้และผิดหวังในตัวเอง เซเซ่เองก็รู้สึกผิดจึงอกไปรับจ้างขัดรองเท้าเพื่อนำเงินมาซื้อบุหรี่เป็นของขวัญคริสมาสต์ให้พ่อแทนคำขอโทษ

ทั้งนี้นายเปาโลแสดงออกถึงความรักต่อลูกๆทุกคนไม่เท่ากัน ลูกคนใดว่านอนสอนง่าย  ไม่ดื้อรั้น   นายเปาโลก็จะไม่ดุด่าว่ากล่าวหรือลงไม้ลงมือ จะเห็นได้ว่าบรรดาพี่น้องของเซเซ่ พ่อไม่ค่อยจะดุด่าหรือทุบตี    แต่สำหรับเซเซ่ที่เป็นเด็กช่างจินตนาการและทำทุกอย่างตามใจตนเองโดยไม่ค่อยเชื่อฟังคำพูดของคนในครอบครัว ยกเว้น แม่และพี่สาวที่เข้าข้างเขา เซเซ่จึงกลายเป็นเด็กที่ดูดื้อรั้นในสายตาผู้เป็นพ่อ

นายเปาโล ไม่ค่อยมีภาวะของการเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีนัก ใช้ชีวิตโดยไม่มีการวางแผน หาเช้ากินค่ำหมดเงินไปกับการพนัน “เสื้อผ้าของพ่อก็ดูไม่สะอาดนักเหมือนเช่นเคยแน่นอนว่าพ่อไม่ได้ออกไปเล่นไพ่กับเพื่อนๆ”เมื่อไม่มีงานทำก็อยู่เฝ้าบ้าน ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเหมือนตัวเองไม่มีค่า ปล่อยภาระหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเป็นของภรรยา จนทำให้เซเซ่คิดจะปลอบโยนพ่อด้วยการร้องเพลงให้ฟังแต่เพลงที่ร้อง เนื้อหาไม่เหมาะสม พ่อเขาไม่พอใจอย่างมาก คิดว่าเซเซ่เหยียดหยามตน “ดวงตาพ่อเริ่มขุ่นขวางเหมือนคนบ้า” (หน้า ๑๘๔ ) นายเปาโลไม่เคยยับยั้งอารมณ์โมโหของตนเอง ไม่ถามหรือตักเตือนลูก หรือชี้แจงเหตุผล เขาตบหน้าลูกชายและท้าทายให้พูดอีกหลายๆครั้ง เซเซ่เองก็ไม่ยอมยังคงร้องเพลงท้าทายพ่อต่อไป จนพ่อสุดทนเอาเข็มขัดมาฟาดเซเซ่ไม่ยั้ง เซเซ่จึงตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรง “ไอ้ฆาตกร.. ฆ่าฉันเสียสิแล้วคุกตะรางก็จะแก้แค้นแทนพ่อบันดาลโทสะสุดขีดผุดลุกจากเก้าอี้โยกแก้เข็มขัดที่มีหัวโลหะสองอันออกจากเอวเขา หน้าแดงกำด้วยความโกรธ ร้องด่าผมอย่างหยาบคาบ "ไอ้ตัวเสนียด ไอ้เด็กระยำ ไอ้เด็กอุบาทว์ แกพูดกับพ่อของแกแบบนี้รึ..." สายเข็มขัดกระทบกับร่างของผมอย่างหนักหน่วงน่ากลัว ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีนิ้วจำนวนนับหมื่นนับพันปีกกระชากว่างทั้งร่างของผมออกเป็นชิ้นๆ” (หน้า ๑๘๔ ) หลังจากเหตุการณ์นั้นพ่อของเซเซ่ก็ได้สำนึกผิดที่ตนเองละเลยที่จะแสดงความรักต่อลูก สำนึกได้ก็สายเกินไป หลังจากที่เซเซ่ได้เสียกับลุงโปรตุก้าไป ซึ่งถึงแม้พ่อจะพยายามเข้ามาดูแล แต่ความเป็นพ่อของนายเปาโลนั้นได้ตายจากใจเซเซ่ไปนานแล้ว เป็นการตายจากที่เจ็บปวดกว่าความเจ็บอื่นใดของคือตายไปจากใจ เซเซ่ไม่เปิดรับความปรารถนาดีจากพ่ออีก เหลือไว้แต่ความรู้สึกว่างเปล่าไม่ยินดียินร้าย “ จบสิ้นกันเสียที ลูกเอ๋ย ทุกอย่างเลย วันหนึ่งเมื่อถึงคราวที่ลูกเป็นพ่อคนบ้าง ลูกก็คงจะรู้ได้เองว่าบางครั้งบางช่วงของชีวิตคนเรานั้นมันเจ็บปวดสักแค่ไหน การที่คนเราทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง มันทำให้ท้อแท้สิ้นหวังได้อย่างน่ากลัว แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว พ่อได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลโรงงานที่ซานโตอาเลโซถึงวันคริสต์มาสรองเท้าของลูกก็จะไม่ว่างเปล่าอีกแล้วล่ะ”จากคำพูดนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่านายเปาโลนั้นแบกรับความกดดันของการไม่มีงานทำ เขาเป็นคนยึดถือศักดิ์ศรี เมื่อไม่มีงานทำ บทบาทความเป็นผู้นำ ก็ลดลง ทำให้เขารุ้สึกเหมือนเขาไม่มีค่า อารมณ์ส่วนใหญ่เลยไปลงที่ลูก บทบาทของนายเปาโล ผู้เป็นพ่อจึงสะท้อนให้เห็นบทบาทความเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รับฟัง ยึดถือเหตุผลและอารมณ์ของตนเองเป็นใหญ่ การขาดการควบคุมอารมณ์จนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว แม้จะสำนึกได้ในตอนท้าย เขาก็ได้ตายไปจากจิตใจของเซเซ่ ลูกที่คอยรองรับอารมณ์ของเขาเป็นที่เรียบร้อย

ลุงโปรตุก้า

ลุงโปรตุก้า คือชื่อที่เซเซ่ใช้เรียก มานูแอล วาลาดาเรส ชายชาวโปรตุเกส เป็นตัวละครลักษณะเดียวคือ เป็นผู้ใหญ่ที่รับฟังความคิดของเด็ก มีเมตตาต่อเด็ก จากการรู้จักกันครั้งแรกเป็นความคึกคะนองของเซเซ่โดยการจะกระโดดเกาะท้ายรถของลุงโปรตุก้า เมื่อมานูแอลจับได้ เขาก็ดุด่า และทำโทษให้เซเซ่ได้รู้สำนึกด้วยการฟาดก้นอย่างแรง ต่อหน้าสาธารณชน เป็นการทำโทษที่ไม่ได้รุนแรงเพราะแค่ต้องการสั่งสอน  เซเซ่แค้นใจและอับอายมาก จึงคิดจะแก้แค้นคนโปรตุเกสอยู่ตลอด “มาถึงอีกฟากหนึ่งของถนน ผมเอามือถูก้นที่ถูกฟาดไอ้สัตว์กะหมา คอยดูเหอะ ผมสาบานว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้แต่ความเจ็บปวด” (หน้า ๑๓๓) ลุงมานูแอลเป็นคนที่มีพื้นฐานเป็นคนใจดี ถึงแม้จะรู้จักกับเซเซ่จากวีรกรรมไม่ดี เมื่อเจอก็จอดรถทักทายตามประสาคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี แต่เมื่อพบว่าเซ่เซ่เท้าเจ็บจากการเหยียบแก้ว เขาจึงถามอาการด้วยความห่วงใย “ดูเธอเจ็บมากนี่เป็นอะไรล่ะ” (หน้า๑๕๒) แม้เซเซ่เองยังไม่วางใจที่คนแปลกหน้าอย่างมานูแอลสนใจในอาการเจ็บของตัวเขา เพราะเขาไม่เคยที่ได้รับคำปลอบโยนจากคนอื่นเลย “เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนที่เคยตีผม จะมาพูดกับผมดีๆ แสดงความเป็นมิตรแบบนี้ เขาเดินมาที่ผมและโดยไม่คาดฝัน ร่างอันสูงใหญ่ของเขาก็ย่อลงเพื่อดูหน้าผม รอยยิ้มของเขาแสดงความเป็นมิตรเสียจนผมรู้สึกได้ว่ามันมีแววแห่งความเอ็นดูซุกซ่อนอยู่” (หน้า๑๕๒) ลุงมานูแอลจึงอาสาจะไปส่งเขาที่คลินิก เมื่อหมอจะฉีดยาซึ่งเซเซ่แองกลัวการฉีดยา ลุงมานูแอลก็มีวิธีเบี่ยงเบนความสนใจที่ดี ไม่ได้ดุด่าในความกลัวของเขา "ถ้าไม่ร้อง ก็จะซื้อลูกอมกับรูปดาราให้ด้วย” (หน้า๑๕๕) ทั้งนี้ยังกอดปลอบเพื่อให้เขาคลายความหวาดกลัว พอทำแผลเสร็จยังช่วยออกอุบายให้เซเซ่เอาเป็นเหตุผลที่กลลับจากโรงเรียน มุมมองของเซเซ่ที่ทีมีต่อคนโปรตุเกสก็เปลี่ยนไป “แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ได้รับในครั้งนี้ผมเพิ่งจะค้นพบสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสิ่งนั้นก็คือคนโปรตุเกสกลายเป็นคนที่ผมรักที่สุดในโลก” (หน้า๑๕๕) จากวันนั้น มิตรภาพของทั้งคู่ก็เป็นไปด้วยดี เซเซ่เป็นส่วนเติมเต็มให้ชีวิตมานูแอลสมบูรณ์แบบ เพราะมานูแอลไม่มีครอบครัว ทำให้มานูแอลขาดความอบอุ่น เซเซ่สามารพูดทุกเรื่องได้กับมานูแอล แม้จะเป็นเรื่องเพ้อฝันของเด็ก มานูแอลก็ยังรับฟังและมีอารมณ์คล้อยตามเรื่องเล่าของเซเซ่ มานูแอลกลายเป็นเพื่อนรักอีกคนของเซเซ่จนเซเซ่ขอเรียกชื่อเฉพาะว่า “โปรตุก้า” หลังจากที่เขาถูกพ่ออและพี่สาวทำร้ายในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้เห็นด้ว่าโปรตุก้ารักและห่วงใยเพื่อนตัวน้อยมากแค่ไหน  “สารภาพมาดีกว่าน่าโปรตุก้า ว่านายรักเจ้าเด็กแก่นคนนี้เข้าเต็มเปาแล้ว” “มากกว่าที่นายคิดเสียอีกนะ กุ้งแห้งผู้เฉลียวฉลาดอย่างน่ามหัศจรรย์” (หน้า ๑๙๒) โปรตุก้าคอยตักเตือนเรื่องการพูดคำหยาบด้วยวิธีที่ต่างจากพ่อ เขาพูดให้เหตุผล ไม่ใส่อารมณ์ เวลาที่เซเซ่หลุดคำพูดนั้นออกมา “เราเป็นเพื่อนกันใช่หรือไม่เราจะพูดกันอย่างลูกผู้ชายนะบางครั้งแม้ว่าฉันจะรู้สึกกลัวที่จะต้องพูดเรื่องบางอย่างกับเธอก็ตาม คืองี้ฉันคิดว่าเธอไม่น่าจะด่าพี่สาวเธอหยาบคายแบบนั้น อีกอย่างปกติเธอก็ไม่สมควรพูดคำหยาบอยู่แล้วรู้มั้ย” (หน้า ๑๙๔) หรือแม้กระทั่งการสอนให้เซเซ่เข้าใจคนในครอบครัว เพราะทุกคนต่างก็รักและหวังดีกับเขามาโดยตลอด “นี่แน่ะเซเซ่ ทุกคนรักเธอทั้งนั้น แม่เธอ พ่อเธอ กลอเรียพี่สาวเธอราชาหลุยส์และต้นส้มเขียวหวานต้นนั้นเธอเผลอลืมมันไปแล้วหรือ ที่ชื่อมิงกินโยและ.” (หน้า ๑๙๖) เห็นได้ว่าความอบอุ่นและความอ่อนโยนที่โปรตุก้ามอบให้เซเซ่นั้นแทบจะหาจากคนในครอบครัวไม่ได้เลย เซเซ่จึงรักและเคารพโปรตุก้าเสมือนพ่อแท้ๆ แต่เมื่ออุบัติเหตุพรากโปรตุก้าจากไปอย่างไม่คาดฝัน เซเซ่ร้องไห้และเสียใจมากจนตรอมใจไม่สามารถแบกรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ แม้ว่าพ่อจะหันมาปลอบโยนเขาอย่างที่ไม่เคยทำ แต่เซเซ่ก็ไม่อาจลืมโปรตุก้า พ่อที่เขาเคารพรักไปหมดทั้งหัวใจได้เลย “ชายผู้นี้อุ้มฉันนั่งบนตักเพื่ออะไรกัน เขาไม่ใช่พ่อฉันพ่อฉันตายแล้วมันการาติบาฆ่าเขา…...”(หน้า ๒๔๔) แม้โปรตุก้าจะตายไปจากชีวิตจริง แต่โปรตุก้ายังมีชีวิตอยู่ในจิตใจของเซเซ่ที่เทิดทูนเขาเป็นพ่อที่รักตลอดไป

จากตัวละครนายเปาโล พ่อของเซเซ่ และ ลุงโปรตุก้า ทำให้เห็นพฤติกรรมของสองตัวละครที่แตกต่างกันตรงการแสดงออก แต่เหมือนกันที่ทั้งสองรักและหวังดีต่อเซเซ่กันทั้งคู่ จากที่กล่าวมานั้นแสดงให้เห็นได้ว่าพฤติกรรมการแสดงออกสองตัวละครล้วนมีบทบาทในจิตใตของเด็กมากแค่ไหน เช่น คำพูดของเซเซ่ที่ว่า “ฉันจะฆ่าเขาในหัวใจของฉัน ด้วยการหยุดรักเขา แล้ววันหนึ่งเขาก็จะตาย”(หน้า ๑๙๕) การทำร้ายคนที่เรารัก ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ล้วนสร้างความเจ็บปวดให้ผู้ที่ถูกกระทำ แม้จะทำไปด้วยความรักและหวังดี แต่เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเราอาจจะค่อยๆตายจากหัวใจของคนที่เรารักก็เป็นได้และการเป็นผู้ใหญ่นั้นไม่ว่าจะเจอสภาวะกดดันใดๆก็ไม่ควรมาลงที่เด็ก ควรแยกแยะ และเมื่อเด็กทำผิดก็ควรตักเตือนด้วยเหตุผลไม่เอาอารมณ์เป็นใหญ่ เพราะการกระทำนั้นอาจจะเป็นแผลที่เจ็บปวดของเด็กคนนั้นไปชั่วชีวิต

   

หมายเลขบันทึก: 688885เขียนเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2021 08:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2021 16:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท