เรื่องเล่าจากพี่เอี้ยง 1: จากจีนแผ่นดินใหญ่ สู่ แผ่นดินสยามเมืองยิ้ม


เรื่องเล่าจากแม่กิมฮวย  แซ่เฮง

แม่เป็นลูกสาวชาวจีนจากเกาะไหหลำ จีนแผ่นดินใหญ่ เป็นวัฒนธรรมของคนจีนโบราณที่ไม่ส่งเสริมให้ลูกสาวได้รับการศึกษา แม่ก็เป็นชาวจีนคนหนึ่งที่มาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490

แม่เล่าว่า แม่มีกัน 2 คนพี่น้อง เป็นลูกเกษตรกรที่พอมีอันจะกินที่หมู่บ้านแปเข่า (แปลเป็นไทยว่า หมู่บ้านทรายขาว)  แต่แม่ก็เป็นลูกกำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่ยังวัยเยาว์ จึงอาศัยอยู่กับกลุ่มลูกพี่ลูกน้องซึ่งรับมรดกของคุณตาคุณยาย และช่วยเลี้ยงดูหลาน 2 คนคือ คุณลุงกับแม่ ชีวิตวัยเยาว์ของแม่ก็ค่อนข้างสุขสบาย  ไม่ต้องมีอะไรกังวล เพราะคุณตาคุณยายทิ้งเรือกสวนไร่นาไว้เยอะ แม่บอกว่าชนิดที่แม่อยากได้หรืออยากกินอะไร ก็สามารถนำผลผลิตจากเรือกสวนไร่นาไปขายที่ตลาดได้ตามอัธยาศัย ต่อมา พอแม่เริ่มเข้าสู่วัยสาวรุ่นประมาณ 18 ปี คุณลุงก็แต่งงานและขอขายสมบัติบางส่วน (ตามส่วนแบ่ง) ของตายายเพื่อไปสร้างปักหลักฐานที่ประเทศสิงคโปร์ เหลือแต่แม่ซึ่งคงต้องดำเนินชีวิตอยู่กับเครือญาติต่อไปซึ่งก็ไม่ได้ลำบากอะไร

ต่อมา พอแม่อายุย่างเข้า 20 ปี วันหนึ่งมีคนมาส่งข่าวว่า ทางบ้านเตี่ยจะยกขันหมากมาสู่ขอ ซึ่งตามที่ญาติฝ่ายแม่ได้รับปากไว้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ญาติฝ่ายแม่ไม่มีใครรู้เรื่องและยอมรับเลยว่าได้ตกลงกับทางฝ่ายเตี่ยไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ (ซึ่งตรงนี้เองที่แม่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นใครจนปัจจุบัน) แต่ด้วยธรรมเนียมจีน แม่จำเป็นต้องเข้าพิธีแต่งงานแบบคลุมถุงชน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของเตี่ยมาก่อนเลย รู้แต่ว่าแต่งแล้วต้องไปอยู่ที่หมู่บ้านซังกัสซี ซังต้าสุย (เข้าใจว่าน่าจะเป็นต่างหมู่บ้านแต่อำเภอเดียวกัน)

ทศวรรษแรก หลังแต่งงาน (ช่วงอายุแม่ 20 – 30 ปี)

เมื่อแต่งงานมาได้ระยะหนึ่งประมาณ 1 ปี เตี่ยก็มาเมืองไทยด้วยเสื่อผืนหมอนใบ ตามแบบพี่ชาย(คือคุณลุง) ซึ่งได้เดินทางมาก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อไปตั้งหลักปักฐานที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา หลังจากเตี่ยออกจากบ้านมาประเทศไทย ทิ้งแม่ในฐานะสะใภ้ไว้กับแม่ (ก็คือย่า) และขณะนั้นมีสะใภ้ 2 คนคือป้าสะใภ้คนโตซึ่งแต่งมาก่อนแล้ว และเป็นคนที่พูดเก่งคุณย่าชอบ เนื่องจากเป็นสะใภ้คนโต เมื่อเตี่ยมาเมืองไทย ย่าก็ตั้งข้อรังเกียจแม่ทันที มองว่าเป็นคุณหนู ทำอะไรไม่เป็น กระแหนะกระแหนทุกวันและก็เริ่มใช้งานในบ้านทุกอย่างตามธรรมเนียมสะใภ้จีน และเป็นสะใภ้เล็ก แม่เล่าว่าใหม่ ๆ แม่ก็แอบร้องไห้ทุกวัน เพราะไม่รู้ว่าจะไปพูดคุยปรับทุกข์กับใคร แม่เริ่มทำทุกอย่าง ตื่นแต่เช้ามืดไปทำนาทำสวน กลับมาหุงข้าวปลาอาหารให้เสร็จ ทำงานบ้านทุกอย่างคือต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง แม้กระทั่งเรื่องอาหารการกินก็ต้องกินสุดท้าย เท่าที่เขาเหลือไว้ให้ จนคนในละแวกนั้นรับรู้กันไปทั่ว แม่่ใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ในช่วง 10 ปีนี้ แม่เล่าว่าเหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่ที่เหนื่อยกว่าคือ ย่าชอบกระแหนะกระแหนแม่ว่า ตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ ทำอะไรมากก็ไม่ได้ สงสัยต้องไปขอข้าวบ้านอื่นกินบ้างแล้วละมังนี่ (หมายความว่า คงต้องไปขอความอนุเคราะห์เพื่อหาคนดูแลหรือเลี้ยงดูใหม่ประมาณนั้น) เหตุการณ์เหล่านี้เป็นมาตลอดที่เตี่ยอยู่เมืองไทย

ทศวรรษที่ 2 (ช่วงอายุแม่ 30 – 40 ปี)

พอปีที่ 11 เตี่ยกลับเมืองจีน เหตุผลที่เตี่ยกลับไปครั้งนี้ วัตถุประสงค์หลักไม่ใช่กลับไปรับแม่มาเมืองไทย แต่ 10 ปีที่ผ่านมา ที่เตี่ยมาตั้งรกรากในเมืองไทย ลุงขายกาแฟที่ถนนเก่าแก่ในอำเภอเมือง ซึ่งปัจจุบันลูก ๆ ของลุงก็ยังขายอยู่เป็นร้านเก่าแก่ ซึ่งเมื่อเอ่ยชื่อ คนสงขลาส่วนใหญ่จะรู้จัก ส่วนเตี่ยทำขนมปัง ขนมเค้กส่งทั่วตำบลบ่อยาง ซึ่งสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเตี่ยและลุง การทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองมาก ในรอบ 10 ปี เตี่ยกับลุงสามารถเก็บหอมรอมริบจนได้ซื้อบ้านทั้งหมด 23 หลัง แถวถนนประชาธิปัตย์ ซี่งปัจจุบันเป็นบริเวณที่อยู่ตรงข้าม โรงแรมและศูนย์การค้าดัง คุณลุงค่อนข้างจะล่ำซำในสมัยนั้น ก็มีผู้หญิงมาติดพัน ผู้หญิงคนนั้น เป็นผู้หญิงที่มีสามีและลูกแล้ว และสามีก็ทำงานรถไฟ ช่วงที่สามีไปทำงานก็มาอยู่กับลุง พอสามีกลับมาก็ไปอยู่กับสามี มันก็มีปัญหากันระหว่างสามีของผู้หญิงคนนั้นกับลุงมาตลอด เมื่อเตี่ยเห็นเป็นเช่นนี้ ก็กลับเมืองจีน เพื่อที่จะไปรับพี่สะใภ้มายืนยันตัวตนว่าลุงมีภรรยาอยู่แล้ว แต่พอเตี่ยกลับถึงบ้านเมืองจีน เมื่อชาวบ้านแถวนั้นรู้ว่าเตี่ยจะกลับมารับพี่สะใภ้มาเมืองไทยคนเดียวก่อน ชาวบ้านแถวนั้นก็แอบกระซิบเตี่ยว่าให้ช่วยพาแม่ไปด้วย อย่าไว้ที่นี่เลย น่าสงสาร เมื่อหลายเสียงกรูมาเข้าหูเตี่ย เตี่ยก็ชักลังเลและสงสัยว่าทำไมชาวบ้านถึงได้เอ็นดูแม่ขนาดนี้ แต่เตี่ยก็ยังพาพี่สะใภ้กลับมาก่อน เพื่อมาจัดการปัญหาที่เมืองไทยให้เสร็จสิ้น เมื่อป้ามายืนยันตัวตน ก็เกิดอีกปัญหาคือ ผู้หญิงแฟนลุงยอมเลิก แต่ขอแบ่งสมบัติคือบ้านที่มีอยู่ แต่เนื่องจากบ้านเป็นชื่อเดียวกันทั้งหมด ก็เลยใช้วิธีจับไม้สั้นไม้ยาว ใครชนะก็ได้ไปทั้งหมด ซึ่งมีเตี่ยเป็นคนจัดการ ปรากฏผลว่าจับแล้วทางฝ่ายลุงจับได้ไม้ยาว(ตามคำบอกเล่า) ผู้หญิงคนนั้นก็ยอมถอยแต่โดยดี (โดยส่วนตัวเราชื่นชมในน้ำใจนักกีฬาของผู้หญิงคนนี้มาก) เมื่อเตี่ยเสร็จสิ้นภารกิจแก้ปัญหาส่วนนี้เสร็จแล้ว เตี่ยก็ย้อนกลับไปเมืองจีนอีกครั้งเพื่อสืบหาข้อมูลที่ชาวบ้านบอก เตี่ยกลับมาอยู่เมืองจีนเกือบปี แม่เริ่มตั้งท้องพี่สาวคนแรกอ่อน ๆ และเมื่อเตี่ยรับรู้ความจริง ก็พาแม่มาเมืองไทยทันที ตอนนั้นแม่อายุ 30 ปี แม่เล่าว่าแม่แพ้ท้องมาก กินไม่ได้ นอนอย่างเดียว ย่าก็หาว่าแม่อู้งาน (แต่ช่วงนี้โชคดีมีเตี่ยอยู่ข้าง ๆ ด้วย) สุดท้ายเตี่ยก็พาแม่มาเมืองไทยด้วยการโดยสารเรือ ใช้เวลาเดินทางเป็นเดือน อยู่บนเรือแม่แพ้ท้องก็นอนอย่างเดียว แม่มาเมืองไทยไปขึ้นฝั่งที่ กรุงเทพมหานคร เมื่อมาถึงเตี่ยก็พาแม่ไปขออนุญาตทำหนังสือสำคัญถิ่นที่อยู่ ทำหนังสือต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมายไทยทุกประการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต เมื่อวันที่ (70 กว่าปีที่แล้ว)

หลังจากมาถึงเมืองไทย เตี่ยพาแม่มาอยู่บ้านเดียวกันกับลุงและป้าสะใภ้ อยู่กันเป็นลักษณะกงสี สิ่งที่แม่เจอคล้ายกับอยู่กับย่าคือ พี่สะใภ้คนเดิม พฤติกรรมที่มีต่อแม่ก็เหมือนเดิม ส่วนรายได้ของเตี่ยที่ทำแล้วทุกบาททุกสตางค์ส่งเข้ากงสีรวมกับลุง  ก็ยังคงดำเนินชีวิตและภาระกิจกันเหมือนเดิม วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อสร้างหลักปักฐานให้มั่นคง ที่เหลือจะได้ส่งกลับไปจุนเจือพี่น้องที่เมืองจีน 

แม่เล่าว่า คืนวันหนึ่ง หลังทานข้าวเย็นเสร็จ ลุงกับเตี่ยก็หารือว่า เราน่าจะขายบ้านจาก 23 หลังไปก่อนสัก 10 หลัง เพื่อนำเงินกลับไปจุนเจือพี่น้องที่เมืองจีน ส่วนอีก 13 หลังก็แบ่งกันฝ่ายละ 6 หลัง (เนื่องจากต่างฝ่ายต่างมีลูก 6 คน) ส่วนอีก 1 หลังก็เป็นรายได้เข้ากองกลาง การตกลงกันครั้งนั้นไม่มีการคัดค้านต่างเห็นชอบด้วยกัน ก็นำไปสู่การขาย เมื่อขายบ้านเสร็จ โอนกันเสร็จเรียบร้อย จำนวนเงินทั้งหมดลุงซึ่งเป็นพี่ชายเป็นคนเก็บไว้เพื่อวางแผนส่งกลับเมืองจีน ต่อมา พ่อสังเกตได้ว่าสถานการณ์ในบ้านไม่เหมือนเดิม  เพราะพี่สะใภ้เป็นคนกุมบังเหียนไว้ทั้งหมด ซึ่งลุงเองเป็นคนดีมากรักน้องรักหลานแต่กลัวเมีย สถานการณ์การอยู่ร่วมกันเริ่มมีช่องว่างมากขึ้น เตี่ยก็เลยขอปลีกตัวย้ายลูกเมียออกจากบ้านดังกล่าว มาอยู่ที่บ้านเช่าที่ทำขนมแทน พาแม่และลูก ๆ มาอยู่ที่ถนนสงขลาบุรี ซึ่งเป็นบ้านที่เตี่ยเช่าทำขนมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมาอยู่ที่นี่ แม่เล่าว่าเตี่ยก็เริ่มเครียดและร้องไห้บ้างเป็นบางครั้งเกี่ยวกับมรดกที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อเครียดมาก ๆ และมักจะรำพันว่า ถ้ารู้อย่างนี้ทำเองไม่ส่งเงินเข้ากองกลาง ป่านนี้ลูกเมียก็ไม่ลำบาก

หลังจากเตี่ยย้ายออกจากบ้านกงสี เตี่ยก็เริ่มเก็บเงินจากรายได้ที่ไม่ได้ส่งเข้ากงสีและมองหาบ้านเพื่ออยากจะซื้อไว้ให้เมียและลูกอยู่หากไม่มีเตี่ยแล้ว จะได้ไม่ลำบาก แต่ด้วยช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เตี่ยก็เก็บเงินได้ไม่มาก ซึ่งหากจะไปหาซื้อบ้านดี ๆ คงไม่พอ ก็เลยไปขอเช่ากรรมสิทธิ์ที่ดินวัด และต่อมาก็ได้ซื้อบ้านไม้เก่า ๆ อีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่หัวถนนสตูล ทั้ง 2 แปลงนี้ เตี่ยไม่มีสิทธิ์ซื้อในชื่อของตนเอง เพราะเป็นคนต่างด้าว ก็เลยไปขอใช้ชื่อของป้าท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม) ซึ่งบ้านอยู่ ตรงข้ามกับบ้านกงสีของเตี่ย เป็นคนเก่าแก่ของสงขลาเช่นเดียวกัน ซึ่งป้าคนนี้ก็รู้ที่ไปที่มาเข้าใจและเห็นใจเตี่ยมาก ก็เลยอนุญาตให้ใช้ชื่อป้าได้ (นับเป็นพระคุณอย่างใหญ่หลวง) ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ ป้าท่านเสียไปนานแล้ว แต่ทุกคนในครอบครัวไม่เคยลืมบุญคุณป้าคนนี้เลย

ต่อมาเย็นวันหนึ่งหลังอาหารเย็นเตี่ยได้รับข่าวว่า ลุงหัวใจล้มเหลวกลางบันไดบ้าน และลุงก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะนั้นเราอายุ 7 ขวบ เตี่ยก็คิดว่าแผนงานทั้งหมดที่คิดกันไว้คงต้องดำเนินต่อ ก็ไปหารือกับพี่สะใภ้ แต่การณ์ไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในกำมือของป้าสะใภ้ จำนวนเงินที่ขายบ้านได้ และทรัพย์สมบัติที่ยังเหลืออีก 13 หลังต้องเปลี่ยนเป็นชื่อป้าตามกฎหมาย ป้าบอกว่าจะไม่มีการส่งเงินกลับไปจุนเจือ ส่วนบ้าน 13 หลัง ที่จะแบ่งให้ฝ่ายละ 6 หลังขอคิดดูก่อน เมื่อป้าพูดเช่นนี้ เตี่ยเริ่มรู้ถึงอนาคตของเมียและลูกแล้วว่าจะเป็นเช่นไร เตี่ยเริ่มเป็นโรคเครียดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กอร์ปกับเป็นโรคหอบหืด และทำงานหนักมากขึ้นเพื่อหารายได้มาสะสมและจุนเจือครอบครัว

ด้วยความเครียดสะสม และโรคหอบหืดเตี่ยเสียชีวิตในปีรุ่งขึ้นต่อจากลุงคือตอนเราอายุ 8 ขวบ (ลุงเสียตอนเรา อายุ 7 ขวบ) เมื่อวันที่ ...กันยายน  พ.ศ. 2504  วันที่เตี่ยเสีย จำได้ว่าคืนวันก่อนเสีย เตี่ยหายใจไม่ออก แต่ด้วยลูก ๆ ก็เล็ก ๆ ทั้งนั้น แม่ฟังภาษาไทยและพูดไทยไม่เป็น เลยขอร้องให้เพื่อนบ้านพาเตี่ยส่งโรงพยาบาล เตี่ยทัดทานว่าไม่ไป แต่ด้วยความกลัวและไม่เข้าใจแม่ก็ให้ส่งไปโรงพยาบาล เพราะคิดว่าปลอดภัยที่สุดกว่าอยู่ที่บ้านเพราะทำอะไรไม่ได้ ทำไม่ถูก พอส่งโรงพยาบาลคืนนั้น วันรุ่งขึ้นพวกเราถูกส่งไปยังโรงพยาบาลทุกคนเพื่อไปรดน้ำศพเตี่ย พวกเราทุกคนยังเด็ก  พี่สาวคนโต 12 คน พี่ชาย 9 ตัวเรา 8 น้องชาย 7 และ 4 ส่วนน้องสาวคนเล็กยังแบเบาะ พวกเราทุกคนยังเด็กมาก ไม่ประสีประสากัน คนมาที่บ้านกันเยอะ แยะ เราก็ไม่เข้าใจก็สนุกกันตามประสาเด็ก ไปวิ่งเล่นกระโดดเชือกบ้าง ตี่จับบ้าง ก็มีคนแก่มาจับกลับเข้าบ้านที่มีงาน สักพักพวกเราก็ออกมาอีก (ด้วยความเป็นเด็กและไม่เข้าใจสถานการณ์ พอเริ่มรู้เรื่อง รู้สึกสงสารแม่มากจับใจกับสถานการณ์วันนั้นที่เหมือนต้องเผชิญแบบโดดเดี่ยว)

โปรดติดตามตอนต่อไป...

หมายเลขบันทึก: 686729เขียนเมื่อ 31 ตุลาคม 2020 18:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม 2020 18:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เหมือนนิยายเลยค่ะ อ่านสนุกมาก จะรอติดตามนะคะ อ โอ๋

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท