วันที่ อ.หมอศิริรัตน์(พี่ตา)ได้เข้าไปกราบท่านพร้อมผู้เขียน
ผู้เขียนเชื่อเสมอมาว่า..ทุกเรื่องราวในชีวิตไม่มีเรื่องใดสักเรื่องเดียวที่เป็นเรื่องบังเอิญ..แม้กระทั่งวันนี้
.
"วัดให้อะไรเราแล้วเราให้อะไรกับวัด" เป็นเรื่องหนึ่งที่ท่านเมตตาพูดให้ฟังหลังจากที่ได้กราบท่านแล้ว
.
ผู้เขียนนำกลับมาคิดต่อ จนวันนี้พึ่งคิดได้ครับว่าสิ่งที่ท่านเมตตาพูดให้ฟังนั้น..มันเหมือน หญ้าปากคอก ที่เราคิดไม่ถึงเลยทีเดียว
ผู้เขียนคิดต่อ เราเข้าวัด หลายคนเข้าวัดเพราะทุกข์ หลายคน เข้าวัดแล้วได้ความสุขใจ กลับบ้านไป
.
วัดให้ที่พึ่งทางใจ แก่เรา ..ที่พึ่งทางใจมีอะไร?บ้าง
ผู้เขียนมองว่า..ที่พึ่งทางใจนั้นคือ บุญ
การให้นั้นเป็นบุญ บุญคือความดี บุญคือความถูกต้อง
วัดให้เรามีโอกาสสร้างบุญ สร้างความดี สร้างความถูกต้อง
.
ศีล ...ไม่เคยรักษา สมาธิ..ไม่เคยทำ ก็ได้จากพระสงฆ์องคเจ้านี่แหละ!!
ที่ท่านเมตตา อบรม สอนสั่งให้รักษาศีล ให้ทำสมาธิ ให้ภาวนา
.
แต่หากเราย้อนกลับมามองตัวเราเอง..แล้วย้อนถามกลับไปว่า "แล้วเราให้อะไรแก่วัด?"
.
คำถามนี้ ท่านพูดทำให้ผู้เขียนคิดอยู่นาน..จนกระทั่งวันนี้ เพราะมันเป็นคำถามที่เหมือนจะตอบง่าย..แต่ผู้เขียนต้องกลับมาคิดใหม่…มันเหมือนหญ้าปากคอกจริงๆ..
มันเหมือนว่า เรากำลังมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป ..
มันเหมือนเราละเลย..หรือว่าเรามองผ่านไป..
.
ท่านจุดประเด็นให้ผู้เขียนคิด..ท่านบอกว่า "ฌาปนสถานของวัดธรรมบูชา เวลามีงานศพทีหนึ่ง ก็วิ่งหาห้องน้ำกันวุ่น เพราะไม่พอใช้..และนี่คือ สิ่งที่ชาวบ้านร้องขอจากวัด..แต่!!
ท่านทิ้งประโยคนี้ไว้..
แต่ไม่มีศรัทธาญาติโยมท่านใดคิดต่อ..สุดท้ายก็เป็นเรื่องของวัดที่จะต้องฉลองศรัทธาญาติโยม
.
นี่คือ 1 ตัวอย่างที่ท่านพูดให้ อ.หมอศิริรัตน์(พี่ตา)และผู้เขียน ฟัง
และวันนั้น เหมือนกับว่า อ.หมอศิริรัตน์ ท่านเข้าใจ และท่านตอบโจทย์นี้เร็วมากครับ
.
อ.หมอศิริรัตน์ ท่านอาสารับจัดผ้าป่ามาถวายวัดเพื่อสร้างห้องน้ำให้
และนี่อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อว่า..การให้นั้นเป็นบุญ เป็นทานบารมีที่เราได้ให้แก่วัด มิใช่เพียงแค่เทศกาล วันสำคัญ หรือแม้กระทั่ง การนิมนต์พระเพื่อประกอบศาสนพิธีเท่านั้น
.
วันนี้โจทย์ที่ท่านพูด ผู้เขียนพึ่งมีโอกาสได้เขียน . และ ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับอาจารย์หมอศิริรัตน์ สุวันทโรจน์ มา ณ โอกาสนี้ ด้วยนะครับ ..สาธุๆๆ ครับ
ไม่มีความเห็น