15/09/2020 ปรับตัวอย่างไร กับ วิกฤตเศรษฐกิจ Covid-19


       ณ วันที่ 15 กันยายน 2563 ถึงแม้จะยังไม่ถึงสิ้นเดือน แต่ฉันก็รับรู้ได้ถึงรายได้ที่หดหายไปอย่างมาก น่าจะมากที่สุดตั้งแต่ เดือน มกราคม 2563 (ปกติรายได้จากการค้าขายของฉัน ในเดือนกันยายน เป็นจุดที่ต่ำสุดของทุกปี) ฉันคิดว่าฉันทำธุรกิจอย่างระมัดระวังพอสมควร ไม่ได้ลงทุนอะไรใหญ่โต ยังไม่ได้ขยายกิจการ (เคยคิดไว้ว่าขออยู่ไปเรื่อยๆอย่างน้อยสัก 10 ปี ถ้าพร้อมค่อยขยายกิจการ ณ วันนี้เปิดร้านมาแล้ว 7 ปี จึงเป็นช่วงเตรียมความพร้อม) แต่ ณ วันนี้ คงต้องชะลอความคิดนี้ไปก่อน เนื่องจากธุรกิจที่ทำปัจจุบันรองรับธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งมันก็ซบเซาลงมาได้ 3-4 ปี แล้วและหนักสุดก็น่าจะเป็นปีนี้ โดยเฉพาะเดือนนี้ ยอดขายน่าจะติดลบเป็นครั้งแรก ในรอบ 7 ปี ทั้งนี้ต้องรอดูปลายเดือนอีกที แต่คิดว่ายังไงก็คงติดลบแน่นอน

ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำสำหรับฉัน คือ 1.ประหยัดให้มากที่สุด ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น 2.สต็อกสินค้าน้อยลง และงดสต็อกสินค้าที่ขายยาก 3.พยายามขายสินค้าที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด ด้วยการลดราคาสินค้า (การซื้อโฆษณาในช่วงนี้ไม่ช่วยอะไร ลองทำแล้ว พังไปแล้ว อย่าพยายามเรื่องนี้อีก เดี๋ยวเจ็บหนักกว่าเดิม) 4.อย่าพยายามดิ้นรนจนเกินตัว ไม่ใช่เวลาที่จะลงทุนใหม่ ลงทุนเพิ่ม อยู่นิ่งๆเข้าไว้ 5.มีสติให้มาก ผ่อนคลายความเครียด เผื่อใจ และเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจไม่คาดฝัน ขอเล่าย้อนไปในวันก่อนที่จะลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ฉันใช้เวลาในการตัดสินใจอยู่เกือบปี ฉันเริ่มขายของไปด้วย ทำงานไปด้วย ตั้งแต่ พ.ศ.2551 พอ พ.ศ.2553-2556 ขายของดีขึ้นเรื่อยๆ พ.ศ.2555 มีเงินเก็บพอจะดาวน์รถยนต์ในโครงการรถคันแรกได้ กำไรจากการขายของ ช่วงพ.ศ.2555-2556 เริ่มดีพอๆกับรายได้ประจำ บางเดือนกำไรมากกว่ารายได้ประจำ ส่วนงานประจำก็เป็นงานที่ชอบและมั่นคง แต่ในใจตอนนั้นเริ่มเอนมาทางค้าขายมากกว่า เพราะติดว่าถ้าเราได้ออกมาค้าขายเต็มตัวน่าจะทำกำไรได้มากกว่านี้ แต่อีกใจก็ไม่มั่นใจในความคิดของตัวเองมากนัก ช่วงเดือน เม.ย.2556 มีวันหยุดยาว ไม่ได้ไปทำงาน ความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน อยากลาออก ปรึกษาพ่อ แม่ ไม่มีใครสนับสนุนเลย เพราะงานประจำที่ทำดีมากๆ ฉันเริ่มเขียนบันทึกเปรียบเทียบการทำงานประจำ กับทำธุรกิจส่วนตัว ข้อดี ข้อเสีย ได้เปรียบ เสียเปรียบ และแนวทางในการแก้ปัญหากรณีที่ออกมาทำธุรกิจส่วนตัว คำถามนึงที่ฉันตั้งขึ้นกับตัวเอง คือ ถ้าฉันไม่ได้ขายของ 10 วัน ฉันจะทำยังไง และเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ เป็น 20 วัน 1 เดือน ไปจนถึง 1 ปี โดยที่ฉันเขียนบันทึกนี้เกือบทุกวัน ในระยะเวลาเกือบ 1 ปี เขียนซ้ำไปซ้ำมาบ้าง และตอบตัวเองว่าฉันจะลาออก ประมาณ ก.พ 2557 ฉันได้เงินคืน 100,000 บาท จากโครงการรถคันแรกของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ฉันคิดว่าจะเอาเงินก้อนนี้มาลงทุน และตัดสินใจลาออกในเดือน เม.ย.2557 ตกลงเช่าตึกเปิดร้าน วันที่ 20 พ.ค.2557 และเหตุการที่ทำให้ฉันแทบช็อก คือ วันที่ 22 พ.ค.2557 ท่านประยุทธ์ ทำรัฐประหาร ในขณะที่ฉันเตรียมสินค้ามาวางขาย ในวันที่ 25 พ.ค.2557 ซึ่งฉันจ่ายค่าสินค้าทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้กระทบกับธุรกิจอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะเราเริ่มธุรกิจจากน้อย ไม่ได้กู้เงินมาลงทุน ประเทศกำลังจะเข้าสู่ AEC และภาคการท่องเที่ยวยังอยู่ในช่วงขาขึ้น

      พ.ศ.2557-2559 ถือเป็นปีทองสำหรับฉัน พ.ศ.2557 กู้เงินมาลงทุนเพิ่ม วงเงิน 100,000 บาท และฉันคำนวณแล้วว่า ไม่ควรกู้เกิน 3 เดือน เพราะมันจะทำให้ฉันไม่ได้กำไรจากการขายสินค้า ฉันสามารถปลดหนี้ได้หมด ภายใน 3 เดือน (ฉันเอาเงินไปคืนธนาคารทุกอาทิตย์) สรุปคือการกู้ครั้งนี้ฉันมีกำไรเหลือ (ฉันไม่ได้นึกอยากจะยืมก็ยืมนะ ฉันวางแผนในการใช้เงินก้อนนี้แล้ว และใช้เงินในกรอบที่วางไว้) ก่อนที่ฉันจะลาออกมีคนเตือนฉันว่า จะลงทุนอะไรให้คิดอย่างรอบคอบ ใช้สติและปัญญาในการทำธุรกิจ อย่าโลภ เมื่อขายดีอย่างหลงตัวเอง อย่าเชื่อมั่นในสิ่งที่ขายได้ จนใช้จ่ายเกินตัว เพราะมันอาจกำลังเป็น “งูกินหาง”อยู่ก็ได้ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจ จนได้รับคำอธิบายว่า เราไม่ควรใช้จ่ายเกินกำไรที่เราขายได้ บางคนคิดว่าตัวเองขายของได้เยอะ ก็เลยใช้จ่ายเยอะ เงินที่จะเอามาซื้อของขายมันก็ลดน้อยลง ถ้าใช้จ่ายไม่ระวังทุนก็จะหมดได้ง่ายๆ

     ณ ตอนนี้อยากให้กำลังใจตัวเอง และทุกคน ให้ฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ไปให้ได้ ด้วยการใช้สติ และปัญญา 

หมายเลขบันทึก: 682340เขียนเมื่อ 16 กันยายน 2020 00:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กันยายน 2020 01:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท