อันที่จริงหนูก็ไม่ตั้งใจที่จะมาทำกิจกรรมที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคมหรอกนะคะ จะว่าไปมันเป็นความบังเอิญเสียมากกว่า เริ่มแรกเลยหนูกับเพื่อนไปเจอ “พี่บิ๊ก” (เกรียงไกร พรสวัสดิ์) ซึ่งเป็นพี่ที่เรียนสาขาเดียวกันกับหนูกำลัง “เปิดหมวก” อยู่ที่ตลาดน้อย เพื่อนำเงินไปช่วยชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม พอเห็นดังนั้นหนูกับเพื่อนเลยช่วยพี่บิ๊กจัดกิจกรรมเปิดหมวกด้วยความเต็มใจ เลยกลายเป็นความบังเอิญที่ตั้งใจนั่นเอง
จากนั้นพี่บิ๊กก็เอ่ยปากชวนให้ลงชุมชนไปด้วยกัน แถมเกริ่นๆ ว่า “ไปแล้วได้ชั่วโมงจิตอาสา กยศ.ด้วย” พอได้ยินเช่นนั้นหนูก็เริ่มคิดที่อยากจะไปทำกิจกรรมกับศูนย์ประสานงานเครือข่ายฯ และจริงๆ ช่วงนั้นก็กำลังว่างๆ อยู่พอดี คิดแค่ว่าตัวเองว่างและอยู่ห้องไม่มีอะไรทำ หนังสือก็ขี้เกียจอ่าน (ฮ่าๆ) ก็เลยอยากหาอะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมบ้าง
แต่พอทำไปทำมา หนูกลับรู้สึกชอบและผูกพันกับกิจกรรมของศูนย์ประสานงานเครือข่ายฯ พอทำไปสักระยะ หนูก็ไม่สนใจเรื่องชั่วโมงจิตอาสา กยศ. ทุกกิจกรรมที่เข้าร่วม หนูไม่เคยคิดที่จะเก็บชั่วโมงใดๆ เลยก็ว่าได้ บ่อยครั้งเข้ากลับเริ่มรู้สึกว่า “ยิ่งทำยิ่งเพลิน ยิ่งทำยิ่งสนุก”
กระทั่งถึงช่วงเวลาที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายฯ มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งภายใน หนูก็ได้รับมอบหมายให้เป็น “ผู้ช่วยธุรการและทะเบียน” แต่เอาจริงๆ แล้วเวลาทำงานพี่ๆ ให้ช่วยอะไรหนูก็ทำตามที่พี่ๆ บอก โดยเฉพาะค่ายล่าสุด คือ “ค่ายต้านลมหนาว” หนูได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องการเตรียมของไปค่าย การเปิดหมวกและหาของบริจาคไปทำกิจกรรมสอยดาว สิ่งเหล่านี้หนูก็ทำอย่างเต็มที่
สำหรับค่ายต้านลมหนาว สานปัญญา: จิตอาสาเรียนรู้คู่บริการ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-15 มีนาคม 2563 ณ โรงเรียนบ้านหนอง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย เป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคมกับกลุ่มนิสิตพรรคชาวดิน โดยงบประมาณหลักๆ ทางพรรคชาวดินจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนศูนย์ประสานงานเครือข่ายฯ จะรับผิดชอบเรื่องกิจกรรมและจัดหางบประมาณเพิ่มเติม รวมถึงการลงพื้นที่เตรียมค่ายฯ
หนูตัดสินใจไปค่ายครั้งนี้ เพราะเคยไปทำค่ายที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ยังมีภารกิจทางใจที่ต้องสานต่อให้แล้วเสร็จ จึงไม่ลังเลใดๆ ที่จะไปออกค่ายและมีความสุขกับการได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบกิจกรรมบางกิจกรรมในค่าย เพราะมันคือโอกาสของการพัฒนาตนเอง และเหมือนว่าพี่ๆ เพื่อนๆ เชื่อว่า "เรามีค่า หรือมีศักยภาพ"
การไปค่ายต้านลมหนาวในครั้งที่สอง มีความแตกต่างจากคราวก่อนมาก โดยเฉพาะการแบ่งงานที่ชัดเจนว่าใครต้องทำอะไร ต้องคิดเอง บริหารจัดการเอง และแก้ปัญหาร่วมกัน เรียกได้ว่ารับรู้เรื่องราวต่างๆ ร่วมกันให้ได้มากที่สุด มิใช่การรับรู้เพียงไม่กี่คนและแก้ปัญหาอยู่เพียงไม่กี่คน หรือแม้แต่ความแตกต่างจากค่ายของสาขาที่ไปแล้วจะทำแต่เฉพาะในส่วนของโรงเรียน สมาชิกค่ายก็มีจำนวนมาก การทำงานก็ไม่ค่อยเป็นระบบ ไม่ค่อยเป็นขั้นเป็นตอน จะทำอะไรก็ต้องถามพี่ๆ อยู่เสมอว่ามันอยู่ในกรอบหน้าที่ หรืออยู่ในรูปแบบของกิจกรรมหรือเปล่า
ส่วนค่ายของศูนย์ประสานงานเครือข่ายฯ ที่หนูได้ไปนั้น เป็นค่ายที่ทำครบวงจรทั้ง “บ้าน วัด โรงเรียน” หรือที่เรียกว่า “บวร” ซึ่งหนูได้เรียนรู้การทำงานที่เป็นระบบ สามารถคิดนอกกรอบได้ แต่ละคนหากมีความคิดเห็นอะไรก็สามารถช่วยออกความคิดเห็นกันได้ หนูมองว่าวิธีการแบบนี้ทำให้หนูเข้าใจการเป็นผู้นำได้และการเป็นผู้ตามพร้อมๆ กันได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้หนูจึงพูดได้อย่างเต็มปากว่าค่ายต้านลมหนาวฯ ล่าสุดที่ได้ไปมานั้นสอนหลายอย่างมากเลยค่ะ ทั้งการทำงาน การใช้ชีวิต ช่วยให้ได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ รู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้หนูได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองให้ดีขึ้น และที่สำคัญคือทำให้หนู “ทำงานเป็น” ขึ้นมากกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
นี่คือความบังเอิญที่หนูพบเจอแล้วตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเรียนรู้อย่างจริงจังเท่าที่หนูจะเรียนรู้ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันคือความบังเอิญที่งดงามสำหรับหนู และหนูก็มีความสุขกับการได้รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด
เรื่อง : นางสาวธัญรัตน์ คำแพง
ชั้นปีที่1 สาขาเกษตรศาสตร์
คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา
เป็นบุญของน้องที่มีโอกาสไปค่ายนะคะ
สวัสดีครับ พี่แก้ว
ผมมีความเชื่อและศรัทธาเสมอมาว่า ไม่ว่ายุคสมัยใดก็เถอะ ค่าย หรือค่ายอาสาพัฒนา เป็นโรงเรียนผู้นำสำหรับคนหนุ่มสาวได้เป็นอย่างดี มันช่วยให้พวกเขาได้ฝึกการคิด ฝึกการทำงานจริงในสถานการณ์จริงทั้งในเชิงบุคคลและทีม ฝึกการรับผิดชอบตัวเองและสังคมไปในตัวอย่างเสร็จสรรพ
แต่ทุกวันนี้ ระบบการเรียนในหลักสูตรก็อาจไม่เอื้อมากนัก เพราะขนาดวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็มีเรียน นิสิตจำนวนไม่น้อยลงเรียนในเสาร์-อาทิตย์ ส่งผลให้ไปเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่
ขอบพระคุณครับ