1.ศาสนาต้องการปรัชญาหรือไม่..?(Does Religion Need Philosophy..?)


1.ศาสนาต้องการปรัชญาหรือไม่..?(Does  Religion  Need  Philosophy..?)

Author By  Dr. D.A.  Gangadhar

แปลโดย.  อุทัย  เอกสะพัง


บทความในปัจจุบันนี้มุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบคำถามว่า  ศาสนานั้นต้องการปรัชญาหรือไม่เพียงใด  ด้วยเหตุว่า  การศึกษาศาสนามีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน.  นอกจากนี้ยังมีความพยายามในการสอบถามความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์และการศึกษาอย่างเป็นระบบโดยมีจุดประสงค์เป็นงานหลักของการไต่สวนทางวิทยาศาสตร์คือการปกป้องศาสนาจากความประพฤติที่ซับซ้อนของผู้นับถือศาสนา.

ด้วยเหตุนี้จึงมีการศึกษาศาสนาด้วยวิธีการได้รับความช่วยเหลือบางอย่างซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางของปรัชญา.  ด้วยความหมายของวิธีนี้คือการนำเสนอแนวคิดทางศาสนาในความรู้สึกพื้นฐานและการใช้แนวทางปรัชญาถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีการใช้งานและสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบในลักษณะทางวิทยาศาสตร์อันเป็นวัตถุดิบของแนวคิดเหล่านั้นอย่างหนึ่งซึ่งเป็นศาสนาที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ.  ระบบปรัชญาไม่เพียงแต่เป็นระบบแนวคิดที่สืบทอดมาอย่างเดียว แต่ระบบปรัชญายังเกี่ยวข้องกับความถูกต้องของแนวคิดเหล่านี้ด้วย.

ดังนั้นปรัชญาที่มาเกี่ยวข้องกับแนวทางของศาสนาที่มีฟังก์ชั่น  มีการการประเมินผลของการเกี่ยวข้องกับการไต่สวนอย่างมีเหตุผลเพื่อเกิดความกระจ่างในลักษณะของแนวคิดทางศาสนา. ถ้าเกิดการเผชิญคำถามหนึ่งในแนวทางที่นี่: คือสิ่งที่เป็นปรัชญาที่มีความรู้สึกข้างต้นจำเป็นหรือไม่.

เพื่อให้เกิดความชัดเจนเราต้องแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญาและศาสนา.ในเรื่องนี้เราอาจอ้างอิงถึงระบบ monistic ของระบบปรัชญาเช่น Absolutism of Bamkar pantheism ของ Spinoza และ Absolutism ของ Bradley ซึ่งระบุความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแน่นอนกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปรากฎการณ์เท่านั้น.

ในศาสนาและปรัชญาดังกล่าวนี้ทั้งสองระบุไว้ แต่ในหลาย ๆ วิธีการได้ระบุว่าแนวทางศาสนานั้นแตกต่างจากแนวทางปรัชญา. แต่อะไรคือปรัชญาและอะไรคือศาสนา..?(  But,  what  is  philosophy  and  what  is  religion ? )

แม้แต่การกล่าวอย่างคร่าวๆก็เพียงพอที่จะวาดเส้นแบ่งระหว่างปรัชญาและศาสนาได้แล้ว.
เพราะว่าศาสนาว่าโดยหลักการและโดยทั่วไปถือว่าเป็นเรื่องของความศรัทธา  แต่ในฐานะที่เป็นปรัชญานั้นจะอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล (  Religion  is  essentially  and  basically  a  matter  of  faith,  where  as  philosophy  is  based  on  reason.) นี่ไม่เพียง แต่เป็นความจริง แต่เป็นความจริงอย่างแน่นอน. ศาสนาที่มีศรัทธาและรูปแบบที่ใช้งานง่ายเกี่ยวข้องกับวิธีการสังเคราะห์ของจิตใจเพื่อประสบการณ์หรือความรู้สึกของวัตถุในขณะที่ปรัชญาต้องใช้ความคิดพิจารณาด้วยวิธีการที่มีเหตุผลของสิ่งนั้น ๆ ด้วยการวิเคราะห์เหมือนตามองเห็นวัตถุอย่างมีรูปธรรมตามประสบการณ์จริงด้วย.

ขอให้เราทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าสิ่งที่เราหมายถึงโดยศรัทธาและเหตุผลนั้น โดยทั่วไปแล้วศรัทธาเกี่ยวข้องกับความเชื่อและความอย่างมุ่งมั่นแต่การใช้เหตุผลนั้นจะนำไปสู่การดำเนินการทางตรรกะซึ่งเป็นเครื่องมือของปรัชญา.

แต่ทั้งการมีศรัทธาและการมีเหตุผลทั้งสองอย่างนี้ล้วนเป็นวิถีทางเปิดเผยให้เราได้รับความรู้ทั้งนั้น

แต่คำถามคือ: การเปิดเผยนั้นจะทำให้เราเห็นความลุ่มลึกของความรู้มากน้อยเพียงใด..?

ด้วยศรัทธาคือความเชื่อถือว่าเป็นทัศนคติของคนคนหนึ่ง  โดยมีอิทธิพลต่อจิตใจและต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาและที่ยอมรับได้ว่าจะเป็นพื้นฐานของการกระทำของเขาด้วย

มุมมองนี้เน้นไปที่ผู้มีเชื่ออย่างมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการให้ได้มาซึ่งให้ความหมายอย่างเต็มรูปแบบของความเชื่อนั้น

ความศรัทธาอย่างเคร่งครัดในคำสอนทางศาสนาคือความเชื่อที่มากกว่าการยอมรับทางปัญญา.  ด้วยศรัทธาคือความลุ่มลึกและความเร่งด่วนในกระแสจิตที่ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเราเต็มใจเชื่อใจในสิ่งหนึ่งนั้นแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง  ในด้านการปฏิบัติตามความเชื่อถือนั้นเป็นมากกว่าสติปัญญาเพราะมันเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความต้องการที่อยู่อาศัยของมนุษย์ด้วย  ในแง่นี้ความเชื่อเกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่นบางอย่างเพราะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นตัวอย่างเช่นคนที่วางเดิมพันในสนามการแข่งขันม้าเขาผูกมัดตัวเองกับความเชื่อที่ว่าจะชนะแน่นอน

นี่คืออำนาจสูงสุดของความมุ่งมั่นหรือความเชื่อมั่นของเขา.

เมื่อชายผู้วางเดิมพันนั้นไม่สามารถแม้แต่จะคิดถึงชัยชนะของม้าตัวอื่นได้เลย  นี่ถือว่าเป็น

สถานการณ์แบบเดียวกันคือยังพบมนุษย์ที่มีความเชื่อในศาสนาด้วยดูอีกตัวอย่าง

หนึ่งของคนมีศรัทธาในการสร้างวัด , สร้างโบสถ์เพราะเขามีความเชื่ออย่างมุ่งมั่นในสถานที่ที่เขาสามารถสัมผัสความจริงแบบวัตถุที่มองเห็นได้ด้วยตาตนเองแน่นอน  แต่สิ่งดังกล่าวนี้กับไม่พบการยอมรับในเหตุผลหรือตรรกะทางปรัชญาเลย  กล่าวคือ

เมื่อเราให้เหตุผลเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น  เราศึกษาอย่างสงสัยเพื่อให้มีเหตุผลและมุมมองที่สำคัญเป็นเครื่องรองรับ.

ที่นี่เราอาจชี้ให้เห็นความยากลำบาก; การตัดสินใจด้วยเหตุผลดูเหมือนจะครอบคลุมและเฉียบแหลมมากกว่าความเชื่อใช่หรือไม่

แต่กล่าวจริง ๆ ว่า  สิ่งที่ดูเหมือนจะมีเหตุผลไม่ได้มาจากความลุ่มลึกและความเร่งด่วนของผู้ทรงรอบรู้ดอกรึ

นี่เป็นเรื่องของความขัดแย้งหรือย้อนแย้งกันในทางความคิด  การสอบสวนแบบย้อนแย้งกลับนั้นอาจทำให้การวิเคราะห์ของวัตถุเห็นขาวเป็นดำได้  แต่ในขณะที่ความเชื่ออาจเผยให้เห็นถึงการยอมรับของวัตถุนั้นโดยไม่ต้องคิดถึงความมีเหตุมีผล

ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าความเข้าใจว่าทั้งสองสิ่งคือศาสนาและปรัชญานั้นเกี่ยวข้องกับวิธีการที่แตกต่างกันแน่.

คนที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางปรัชญาด้วยการพิจารณาแยกแยะในรูปของวัตถุและอื่น ๆ ที่เจาะเข้าไปในความลุ่มลึกของวัตถุโดยรู้อย่างแทงทะลุ(knower) กับวัตถุ

มันชัดเจนด้วยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม  ดุจดัง  นักพฤกษศาสตร์และกวีทั้งคู่อธิบายล้วนอธิบายวัตถุเดียวกันเช่น ดอกไม้แตกต่างกันเพื่อตอบสนองจิตใจตัวเองนั้น

ในมุมมองของนักพฤกษศาสตร์คือการแบ่งดอกไม้อย่างมีเหตุผลออกเป็นองค์ประกอบย่อยแยกส่วนได้  แต่กวีนั้นสร้างชีวิตให้เป็นดอกไม้โดยไม่ต้องแบ่งแยกและรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งในจินตนาการนั้น  นักพฤกษศาสตร์ที่มีเหตุผลในการไต่สวนไม่สามารถให้ความสำคัญกับดอกไม้ได้อย่างสมบูรณ์ในขณะที่กวีที่มีศรัทธาและความรู้สึกมีสติและด้วยพลังจินตนาการอันเฉียบแหลมของเขาได้สังเคราะห์ดอกไม้ออกมาอย่างสวยงามยิ่ง.

ด้วยวิธีการสังเคราะห์อย่างนี้เขาจึงให้ความสำคัญอย่างแท้จริงและแนวทางของนักพฤกษศาสตร์ ( botanist) นั้นก็ยังคงเป็นเพียงการวิเคราะห์แยกแยะอย่างนั้น

แต่ความเชื่อหรือศาสนานั้นขึ้นอยู่กับวิธีการสังเคราะห์ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นนี้เป็นหลักศรัทธาอยู่บนพื้นฐานนี้เป็นมากกว่าเหตุผลเพราะเป็นสิ่งครอบงำจิตใจเหนือคำอธิบายบางส่วนที่ได้รับจากเหตุผล.

ศรัทธาที่มีความสามารถทะลุทะลวงไม่เพียง แต่ทำให้เราคุ้นเคยกับความเป็นจริงของวัตถุ แต่ยังมุ่งมั่นที่จะให้เรากระทำการใด ๆ ได้ด้วย

นอกจากนี้ยังไม่สามารถเป็นความเชื่อแบบตาบอดและเป็นสิ่งที่ไม่ได้ขัดแย้งกับเหตุผลด้วย

ศรัทธาไม่เพิกเฉยต่อเหตุผล แต่มีความเคารพอย่างยิ่ง  ศรัทธาที่ไม่มีเหตุผลและไร้เหตุผลนั้นไม่สามารถเข้าใจได้และไม่สามารถยอมรับได้เสมอ  แต่ศรัทธานั้นอยู่เหนือเหตุผลเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์ของวัตถุธรรม. ศรัทธานั้นเกี่ยวข้องกับการยอมแพ้ตนเองความไม่เห็นแก่ตัวและการค้นหาตัวเองเพื่อลดละเลิกจากความอยากด้วย  และMax Schoen ได้ตีความหมายธรรมชาติของความเชื่อนี้อย่างชัดเจนเมื่อเขาอธิบายว่ามันเป็นมากกว่าความเชื่อ  ในมุมมองของเขาความเชื่อเป็นทัศนคติแบบเสรีนิยมซึ่งประนีประนอมในธรรมชาติ แต่ศรัทธาไม่เคยประนีประนอมหรือไม่รับรู้ถึงข้อยกเว้นใด ๆ .

หมายเลขบันทึก: 677600เขียนเมื่อ 23 พฤษภาคม 2020 22:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2020 23:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณครับ คุณศุภณัฐ เจตน์ครองสุข

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท