คณะสงฆ์ในศาสนาพุทธ 5


 คณะสงฆ์ในศาสนาพุทธ 5

เขียนโดย... Christmas  Humphreys

แปลโดย...อุทัย  เอกสะพัง

ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงยอมรับการเข้าสู่พุทธจักร (Women  admitted  to  the  Order )

นี่ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่มาหาพระพุทธเจ้า. ผู้หญิงก็ได้รับการยอมรับให้เป็นสาขาหนึ่งของพุทธจักรด้วยและเรื่องนี้บอกว่ามหาประชาบดีซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของสิทธัตถะกุมารนั้น  ภายหลังการตายของพ่อแล้ว  เธอก็ตัดสินใจตัดผมและโกนหัวของเธอปรากฏตัวต่อหน้าเสื้อคลุมสีเหลืองของพระพุทธเจ้าโดยขอบวชอยู่ในพุทธจักรด้วย.

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธการบวชนี้และผ่านการยืนยันของพระอานนท์แต่ในที่สุดผู้หญิงเหล่านั้นก็ได้รับการยอมรับให้บวชในคณะสงฆ์.

แม้คำสั่งสอนของภิกษุณีเพศหญิงที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้กฎที่เข้มงวดและยุ่งยากมากแต่พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้หญิงเหล่านั้นบวชเป็นนางภิกษุณีได้  พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าการรับผู้หญิงเข้าสู่พุทธจักรอาจทำให้อายุกาลสั้นลงอย่างมีนัยสำคัญในชีวิตของศาสนาพุทธ.

จะเป็นไปตามคำทำนายที่แท้จริงหรือไม่เราไม่รู้ แต่ทัศนคติของพระพุทธองค์ที่มีต่อผู้หญิงนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในตัวอย่างที่การให้บวชอย่างเท่าเทียมกันระหว่างเพศหญิงและชาย.ดังเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสนทนากับพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก

ขณะที่พระพุทธเจ้านอนบนเตียงใกล้จะปรินิพพาน(มรณะของพระพุทธองค์)แล้วพระอานนท์ทูลถามว่า:

“ เราจะประพฤติตนอย่างไรในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิง?”

“ ไม่เห็น(มีสติวางเฉยต่อ)พวกเขาอานนท์!”

“ แต่ถ้าเราเห็นพวกเขาเราต้องทำอะไร?”

“ ละเว้นจากการพูดสิ”

“ แต่ถ้าพวกเขาพูดกับเราละขอรับ เราจะทำอย่างไรดี?

“ ตื่นเถิด(เธอจงมีสติในการพูดเถิด)อานนท์ !”

( Ananda,  as  the  Buddha  lay  on  his  death-bed,  asked :

“How  are  we  to  conduct  ourselves,  Lord,  with  regard  to  women?”

“Do  not  see  them,  Ananda!”

“But  if  we  should  see  them,  what  are  we  to  do?”

“Abstain  from  speech.”

“But  if  they  speak  to  us,  Lord,  what  are  we  to  do?

“Keep  wide  awake,  Ananda!” )

ด้วยพระอานนท์และพระเทวทัต ( Devadatta) ล้วนเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระพุทธเจ้าในอดีต  พระอานนท์กลายเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของพระพุทธเจ้าในช่วงยี่สิบห้าปีที่ผ่านมาในชีวิตของพระพุทธองค์และสำหรับพระเทวทัตนั้นสันนิษฐานว่ามีข้อสงสัยด้วยความมีอคติของท่านตำนานในภายหลังได้แสดงบทบาทของการทรยศ.

ด้วยความอิจฉาริษยาที่ตำแหน่งของลูกพี่ลูกน้องของเขาพระเทวทัต( Devadatta) สามารถทำให้เกิดการแตกแยกในหมู่พระสังฆ์และในคราวเดียวกันนั้นก็สร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรงด้วยการยุยงส่งเสริมให้เจ้าชายอชาตศัตรู( Ajatasattu) ผู้เป็นลูกชายของกษัตริย์ พิมพิสาร(Bimbisara)ที่ราชาพิมพิสารนั้นจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้าโดยให้เจ้าชายอชาตศัตรูเอาชนะบิดาของตน.

ว่ากันว่าพระเทวทัตต้องการรับอำนาจจากพระพุทธเจ้าเพื่อปกครองพระสงฆ์โดยที่เขาปรารถนานั้นเขาวางแผนที่จะฆ่าพระพุทธเจ้าแต่นักฆ่าที่ได้รับการว่าจ้างมานั้นล้มเหลวหมด.

ความพยายามที่โด่งดังที่สุดของความพยายามเหล่านี้มักแสดงให้เห็นในศิลปะทางพุทธศาสนาคือการปล่อยช้างที่ดุร้ายบนถนนไปตามที่ลูกพี่(พระพุทธเจ้า)ลูกน้อง( พระอานนท์ )ของพระเทวทัตกำลังจะมา.

ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าถูกเตือนถึงความพยายาม แต่พระพุทธองค์ยืนยันเพื่อดำเนินการต่อไป.

ขณะช้างตกมันวิ่งเข้ามาจะทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าปลุกช้างให้มีสติทรงโปรดด้วยความรักความเมตตาและเมื่อช้างมาอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์นั้นช้างได้

คุกเข่าลงในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จไป.

หลังจากนั้นพระเทวทัต( Devadatta) ยังใช้ความพยายามมากของเขาที่จะทำให้เกิดความแตกแยกในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์และเขาได้ชักชวนพระภิกษุจำนวนมาก( Bhikkhus) ออกไปจากคณะสงฆ์.

แต่พระพุทธเจ้าทรงส่งพระโมคคัลลานะ( Moggallana) และพระสารีบุตร( Sariputta) ไปเทศนาสั่งสอนให้พระสงฆ์เหล่านั้นหวนกลับมาในพุทธจักรดังเดิม.

ต่อมามีการกล่าวว่าพระเทวทัต( Devadatta) สำนึกผิดได้รับเข้าสู่พุทธจักรอีกครั้งและสิ้นชีวิต.

ดังนั้นคณะสงฆ์จึงดำเนินต่อไปและเป็นเวลาสี่สิบห้าปีที่พระพุทธเจ้าทรงย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือและได้จัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ขยายกว้างไกลและสั่งสอนทุกคนที่มาหาพระพุทธองค์.

กล่าวถึงนางอัมพปาลี( Ambapali)เธอเป็นหญิงโสเภณีที่มีชื่อเสียงและสวยงามไม่มีใครปฏิเสธในการอยู่ร่วมกับเธอ  เธอได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพเช่นเดียวกับกษัตริย์องค์ใด  เธอมาเยี่ยมเยือนพระพุทธเจ้าและได้รับความยินยอม(จากผู้ว่าจ้างให้มาทำลายความน่าเชื่อถือในพระพุทธองค์ )โดยเชิญให้พระพุทธองค์ "เพื่อรับประทานอาหารกับเธอ  เธอปฏิเสธที่จะขายสิทธิพิเศษนี้ให้กับ เจ้าชายลิจฉวี ( Licchavi)

พวกเขาพยายามจีบพระพุทธเจ้าจากคำสัญญาของเขาและเมื่อล้มเหลวก็จากไปแล้วไม่พอใจที่ได้รับ“ ความพ่ายแพ้โดยจีรัง”

ต่อมานางอัมพปาลี(Ambapali )เกิดสำนึกผิดได้ขอขมาต่อพระพุทธเจ้าและได้ถวายสวนและคฤหาสน์ของเธอเพื่อเป็นวัดในพุทธศาสนาสืบต่อไป.

.............................................................

หมายเลขบันทึก: 677400เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2020 09:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 พฤษภาคม 2020 09:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณครับ คุณ ศุภณัฐ เจตน์ครองสุข

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท