"บุคคลเมื่อประสบอารมณ์หรือมีการรับรู้จากสิ่งเร้า(กิเลส)ภายนอก แม้เป็นของอย่างเดียวกันแต่การมองเห็นและความรู้สึกนึกคิด(ปรุงแต่ง)กันไปคนละอย่างตามจิตใจ"
........จากคำกล่าวข้างต้นทำให้เรามองเห็นลักษณะของการมองเห็นและความรู้สึกนึกคิดเป็น 2 ลักษณะ คือ ถ้าเป็นในทางที่ดีงามเรียกว่า "กุศล" ในทางตรงกันข้ามที่ไม่ดีไม่งาม ไร้ประโยชน์ ให้โทษ อิจฉาริษยา เรียกว่า "อกุศล" เมื่อเราเห็นอย่างนี้แล้วการใช้ความคิดในทางที่ดี สร้างสรรค์ เริ่มต้นนำความคิดสู่ความเป็นกุศล นำความคิดไปสู่สิ่งที่ดีงาม จะทำให้ความคิดเปิดกว้างมากขึ้น สามารถนำความคิดนี้ไปปรับประยุกต์ใช้กับกิจการงานใดๆ ทั้งหลายย่อมจะใช้ได้ดีขึ้น เพียงแต่ระวังและสกัดความคิดที่เป็น "อกุศล" ออกไปเท่านั้น "หลุมดำทางความคิด" ก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอนครับ
วิชิต ชาวะหา
๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๙
ใช่เลยครับ
แค่ไม่อกุศล ก็ยังค่อย work
ถ้าอกุศล ไม่ต้องหวังอะไรเลยครับ
เรียกว่าคนละขั้วก็ว่าได้
แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรครับ
ผมยังไม่ปักใจเชื่อว่า แค่ไม่อกุศลหลุมดำทางความคิดจะหายไป
ยังมีอีกหลายตัว เช่น โลภ โกรธ หลง อวิชชา ฯลฯ ที่เขาเข้าใว่ว่าเป็นกุศลของตัวเขาเอง โดยถือว่าไม่ไดทำร้ายใคร
และตัวใหญ่ สองตัวที่สำคัญคือ อวิชชา และ มิจฉาทิษฐิ ที่เป็นตัวทำลายตัวเอง และผู่อื่น โดยไม่รู้ตัว อีกต่างหาก
แล้วใครจะเป็นคนสะกิดออก ที่เสนอไว้ครับ
พออ่านแล้ว ผมหนักใจแทนท่านนะครับ
เรียนท่าน ดร. แสวง รวยสูงเนิน
คำว่า "โลภ โกรธ หลง อวิชชา" ไม่ใช่อกุศลหรือคะ ขอความกรุณาท่านผู้รู้แก้ข้อสงสัยด้วยค่ะ
แล้วหลุมดำทางความคิด ความหมายที่แท้จริงคืออะไรคะ
ขอบพระคุณค่ะ
จาก เด็กน้อยอยากหาความรู้ค่ะ
ขอบคุณทุกๆท่าน และ ดร.แสวง ที่กรุณาเสนอแนะข้อคิดเพิ่มเติม ครับ