บันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลนนี้ ตีความจากหนังสือ Poor Students, Rich Teaching : Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty (Revised Edition, 2019) เขียนโดย Eric Jensen ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียน และเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู ผมคิดว่าสาระในหนังสือเล่มนี้ เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมต่อ “ครูเพื่อศิษย์” ที่สอนนักเรียนที่มีพื้นฐานขาดแคลน ผมเข้าใจว่าในประเทศไทยนักเรียนกลุ่มนี้เป็นนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ
บันทึกที่ ๒๖. บทส่งท้าย นี้ เป็นบันทึกสุดท้ายของบันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน ตีความจาก Epilogue และจากการใคร่ครวญสะท้อนคิดของผมเอง
สาระหลักของบันทึกนี้คือ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการทำหน้าที่ครูที่ สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน ครูต้องสร้างระบบ “ตัวช่วย” ให้แก่ตนเอง เพื่อให้สามารถดำรงความมีกำลังใจ มีสติอยู่กับความมุ่งมั่น “ครูเพื่อศิษย์” ไม่พ่ายแพ้ต่อแรงเฉื่อย และแรงเฉ จากสภาพแวดล้อม สภาพสังคม และสภาพในโรงเรียนที่ไปในทางตรงกันข้าม
หนังสือบอกว่า ในสหรัฐอเมริกา ครูที่ได้ชื่อว่ามีผลงานยอดเยี่ยม (สอนแล้วศิษย์ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้เท่ากับเรียน ๒ ปี ในเวลาเรียนปีเดียว) ประสบความสำเร็จเพราะสอนนักเรียนขาดแคลนนี่เอง และโรงเรียนที่มีผลงานดีเด่นก็บรรลุได้จากกระบวนทัศน์ “ไม่แก้ตัว” แต่มุ่งมั่นดำเนินการให้ศิษย์ประสบความสำเร็จในการเรียน เพื่อออกไปประกอบอาชีพหรือไปเรียนต่อ นักเรียนจะมีความานะพยายามและทำงานหนักเพราะรู้ว่าตนจะประสบความสำเร็จโดยมีครูและคนอื่นๆ คอยช่วยหนุนอย่างไม่ลดละ
การสอนเป็นเรื่องง่าย แต่การสอนให้ได้ผลดีเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่เรียกร้องความพยายาม ใจที่มุ่งมั่น และเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงตนเอง ที่นำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายยิ่ง คือการทำหน้าที่ครูไม่ใช่แค่เป็นการทำงานตามปกติ แต่เป็นเส้นทางสู่ชีวิตที่มีคุณค่าสูงยิ่ง
คุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นครู มากับโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่ศิษย์ ในด้านเจตคติ ศักยภาพในการเรียน ความมานะพยายาม และพฤติกรรมในห้องเรียน ซึ่งเป็นความท้าทายต่อครู แต่หนังสือเล่มนี้บอกว่าทำให้สำเร็จได้ พร้อมกับแนะนำวิธีการที่หลากหลายภายใต้ ชุดความคิดทั้ง ๗ ที่เป็นวิธีการง่ายๆ แต่ได้ผลดียิ่ง และไม่ใช่มีเพียงวิธีการในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น ครูยังสามารถคิดวิธีการขึ้นเองให้เหมาะสมต่อบริบทของนักเรียนได้ด้วย
แต่การอ่านหนังสือหรือบันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน นี้ ไม่สามารถช่วยให้บรรลุผลได้ จะให้เกิดผล ครูต้องลงมือทำและเรียนรู้ต่อเนื่อง โดยที่ครูมีทางเลือก ว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ผมขอยืนยันว่า ครูที่เลือกทำ และทำอย่างเอาจริงเอาจังไม่ท้อถอย ทำแล้วใคร่ครวญสะท้อนคิด เพื่อทำความเข้าใจและหาทางทำให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทำแล้วปรึกษาหารือครูหรือผู้มีประสบการณ์และความสำเร็จมาก่อน รวมทั้งชักชวนเพื่อนครูรุ่นราวใกล้เคียงกัน ตั้งเป็นกลุ่มปฏิบัติการและเรียนรู้ ผลลัพธ์ม่มีทางเป็นอื่น นอกจากประสบความสำเร็จในการเป็นครูที่ผลงานคุณภาพสูง และได้มีความสุขใจจากการได้เห็นความสำเร็จของศิษย์คนแล้วคนเล่า ที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตจากนักเรียนจากครอบครัวยากจนขาดแคลน เป็นนักเรียนที่ประสบความสำเร็จในการเรียน และในชีวิต
ยิ่งกว่านั้น ตัวครูเองจะเกิดการเปลี่ยนแปลง (transformation) จากการฝึกเปลี่ยนชุดความคิดทั้ง ๗ กลายเป็น “มนุษย์พันธุ์บวก” ที่มีชุดความคิดแห่งความหวัง แห่งการลงมือปฏิบัติ และแห่งการเรียนรู้และพัฒนาตนเองต่อเนื่อง ชีวิตของครูตัวเล็กๆ จะกลายเป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ที่บรรลุเป้าหมายที่ท้าทายในการเป็นครูของตนเองได้ ครูที่เดินตามเส้นทางนี้ จะเป็นบุคคลที่ “ลิขิตชีวิตตนเอง” ได้ ไม่ใช่รอหรือยอมให้คนอื่นหรือระบบการศึกษามาลิขิตหรือบงการ โดยมีเคล็ดลับคือ “ทุ่มเทเต็มที่” ไม่มีข้อลังเลสงสัยในการทำงานหนัก และทำอย่างมีหลักวิชา (ตามในหนังสือเล่มนี้)
หัวใจสำคัญคือ การเป็นครู ไม่ได้เป็น “กรรม” หรือผู้ถูกกระทำ ครูต้องเลือกเป็น “ประธาน” (ผู้กระทำ) และเป็น “กริยา” (การลงมือทำ) โดยที่การกระทำเริ่มจากการตั้งเป้าที่ท้าทาย การวางแผนยุทธศาสตร์ ลงมือทำ เก็บข้อมูลผลของการกระทำ นำมาสะท้อนคิด ใช้เป็น feedback สำหรับปรับปรุงทั้งที่วิธีการและที่เป้าหมาย ที่เรียกว่า double-loop learning เท่ากับชีวิตครูเป็นชีวิตที่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงตนเอง(transformative learning) ผ่านเป้าหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือ สร้างการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงตนเองให้แก่ศิษย์ทุกคน
เพื่อการนี้ เขาแนะนำชุดคำถาม ๕ ข้อให้ครูตอบ ดังต่อไปนี้
เขาแนะนำให้ตรวจสอบชุดความคิดสองชุดข้างล่าง และตอบตนเองว่า ชุดไหนเป็นของตน (ผมปรับปรุงให้เข้ากับบริบทไทย)
เมื่อครูเรียนรู้และปรับตัว นักเรียนจะซึมซับพลังนี้ไปโดยไม่รู้ตัว และข่าวดีคือ เมื่อครูพัฒนาวิธีทำงานตามในหนังสือเล่มนี้ไประยะหนึ่ง (ผมตีความว่า สองสามปี) ครูจะกลายเป็นครูที่มีผลงานสูง มีผลการวิจัยบอกว่า ครูที่มีผลงานสูงทำงานน้อยชั่วโมงต่อสัปดาห์กว่าครูที่มีผลงานต่ำ ซึ่งผมตีความว่า เป็นผลของการทำงานอย่างมีหลักวิชา และอย่างเป็นระบบ ไม่มั่ว
เขาแนะนำให้สร้างระบบเตือนสติตนเองทุกวัน ให้ดำเนินการสู่เป้าหมายเพื่อผลสำเร็จในการเรียนรู้สู่อาชีพและสู่การเรียนต่อของศิษย์ โดยตอบคำถาม ๗ ข้อต่อไปนี้ทุกวัน โดยติดคำถามเหล่านี้ไว้ที่โต๊ะครู เป้าหมายคือ เพื่อให้ใจตนเองมีความมั่นคงมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย ไม่วอกแวกแกว่งไกวไปตามปัจจัยลบสารพัดด้านที่โรงเรียนและในระบบการศึกษาที่ล้มเหลว
คำแนะนำสุดท้ายในหนังสือคือ จงเปลี่ยนแปลงตัวเองบ่อยๆ และเปลี่ยนอย่างมีเป้าหมายที่ทรงคุณค่า
ผมตีความว่า สาระสำคัญที่สุดในบันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน คือศิษย์จากครอบครัวยากจนและขาดแคลนมาโรงเรียนด้วยสมองที่ไม่เต็มร้อย แต่ครูสามารถใช้วิธีการต่างๆ ที่ผมใช้คำว่า สอนเข้ม(ตามในรายละเอียดในบันทึกชุดนี้) ให้สมองของศิษย์เหล่านี้แปรสภาพเป็นเต็มร้อยหรือเกือบเต็มร้อยได้ นำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดี นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียน
โดยปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ชุดความคิดที่ซ่อนหรือฝังอยู่ในสมองครู ต้องเป็นชุดความคิดเชิงบวกหรือเอื้อหรือสู้ ไม่เป็นชุดความคิดเชิงลบหรือปิดกั้นหรือถอย ชุดความติดเหล่านี้ (๗ ชุด) เป็นเสมือน “ถ้อยคำเงียบ” ที่ประดิษฐานอยู่ในสมองครู แม้ครูไม่พูดออกมา มันก็สื่อสารไปยังศิษย์ได้ ผ่านอวัจนะภาษา และสร้างเป็นชุดความคิดในนักเรียนโดยไม่รู้ตัว คือครูก็ไม่รู้ตัว ศิษย์ก็ไม่รู้ตัว ว่าตนเองได้สร้างขวากหนามปิดกั้นความสำเร็จในชีวิตของตนเอง ทั้งความสำเร็จของนักเรียน และความสำเร็จของครู
จากชุดความคิด นำไปสู่ชุดการกระทำ หรือเทคนิคการสร้างพลังสมอง สร้างสภาพพร้อมเรียน ที่ผมคิดว่ามีระบุไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งมาก ทั้งในเชิงทฤษฎี และเชิงวิธีปฏิบัติ ที่สำคัญคือ วิธีปฏิบัติเป็นวิธีง่ายๆ แต่ให้ผลดียิ่ง
จาก สอนเข้ม สู่ เรียนเข้ม ทั้งศิษย์และครู สู่ความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิตของศิษย์และของครู
วิจารณ์ พานิช
๑๙ พ.ค. ๖๒
ไม่มีความเห็น