บันทึกชุด สู่การศึกษาคุณภาพสูงนี้ ตีความจากรายงานของธนาคารโลก ชื่อ World Development Report 2018 : Learning to Realize Education’s Promise (1) ที่มีการค้นคว้ามาก และเขียนอย่างประณีต เป็นเอกสารด้านการศึกษาที่มีประโยชน์ยิ่ง ผมเขียนบันทึกชุดนี้เสนอต่อคนไทยทั้งมวล ให้ร่วมกันหาทางนำมาประยุกต์ใช้ในการกอบกู้คุณภาพการศึกษาไทย
บันทึกที่ ๑๑ นี้ ตีความจาก Partไ IV : Making the system work for learning at scale Chapter 9 : Education systems are misaligned with learning ซึ่งอยู่ในรายงานหน้า ๑๗๐ – ๑๘๒
วิธีการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาให้เกิดผลสูงต่อการเรียนรู้ เมื่อทดลองใช้ได้ผลดีในระบบย่อย (เช่นบางโรงเรียน) เมื่อนำไปใช้ขยายผลในระบบการศึกษาทั้งระบบ (ทั้งประเทศ) มักล้มเหลว เพราะระบบการศึกษาภาพใหญ่มีปัจจัยที่ซับซ้อนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในประเทศส่วนใหญ่ ระบบการศึกษามีจุดอ่อนสำคัญ ๒ ประการ (๑) ระบบไม่มุ่งเป้า (align) ต่อเป้าหมายการเรียนรู้ คือภายในระบบมีเป้าหมายอื่นๆ มากมายและซับซ้อน มาบดบังเป้าหมายของการเรียนรู้ที่แท้จริง (๒) องค์ประกอบ องค์ประกอบภายในระบบการศึกษามีความขัดแย้งกันเอง หรือไม่เชื่อมโยงสอดคล้อง (coherence) กัน เช่น งบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้โรงเรียน ระบุให้ซื้อของที่ไม่ตรงกับที่โรงเรียนต้องการเพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน และกฎเกณฑ์การใช้เงิน ไม่ยืดหยุ่นพอที่จะให้โรงเรียนตันสินใจใช้เงินที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อการเรียนรู้ของนักเรียนได้
ความอ่อนแอของระบบการศึกษามาจากปัจจัยด้านเทคนิควิชาการ และปัจจัยด้านการเมือง เป็นการยากยิ่งที่จะทำให้ส่วนต่างๆ ของระบบการศึกษาทำงานด้วยกัน หรือร่วมมือกัน และหน่วยงานที่ทำหน้าที่ด้านนโยบาย ในการออกแบบ ดำเนินการ และประเมินผล มักขาดขีดความสามารถในการทำหน้าที่ดังกล่าว
นอกจากนั้น ผู้มีบทบาท หรือมีอำนาจ ในระบบการศึกษา อาจเป็นตัวการที่ทำให้เป้าหมายของระบบการศึกษาเฉไฉจากผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ไปมุ่งสู่ผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง เขายกตัวอย่าง แรงผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการมอบอำนาจให้โรงเรียนตัดสินใจใช้งบประมาณสนับสนุนโรงเรียนเอง อาจถูกต่อต้าน เพราะธุรกิจผลิตตำราเรียนเกรงจะไม่ได้ผูกขาดการจำหน่ายจากการจัดซื้อของส่วนกลาง
เมื่อผู้มีบทบาทหลายฝ่ายในระบบการศึกษา ต่างก็ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเป้าหมายส่วนของตน จึงไม่สามารถหาบุคคลหรือหน่วยงานที่รับผิดรับชอบ (accountable) ต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ได้ และเมื่อกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอำนาจต่อรองสูง สามารถวิ่งเต้นงบประมาณเพื่อผลประโยชน์ของตน ความไม่เท่าเทียม (inequity) ในวงการศึกษาก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น
ไม่เป็นแนวร่วม ไม่เชื่อมโยง เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้
สภาพของระบบการศึกษาที่ไม่เป็นแนวร่วม (misalignment) และไม่เชื่อมโยงกัน (noncoherence) สู่เป้าหมายการเรียนรู้ มีสาเหตุสำคัญ ๔ ประการคือ (๑) เป้าหมายการเรียนรู้และความรับผิดชอบ (๒) ระบบการวัดและสารสนเทศ (๓) ระบบการเงิน (๔) ระบบแรงจูงใจ
เป้าหมายการเรียนรู้และความรับผิดชอบ
เอกสารระบุเป้าหมายการศึกษาของประเทศ อาจไม่ได้เน้นย้ำว่าเป้าหมายหลักคือผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน หรือแม้มีระบุชัดในเป้าหมายระดับประเทศ แต่เมื่อลงไปในระดับปฏิบัติ เป้าหมายมักไปอยู่ที่การปฏิบัติงานประจำ และตัวชี้วัดผลสำเร็จของระบบการศึกษามักไพล่ไปเน้นที่ผลการสอบได้ตกของนักเรียน แทนที่จะเน้นที่ระดับคุณภาพของการเรียนรู้ที่แท้จริง
ความรับผิดรับชอบ (accountability) ต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนในภาพรวมมักไม่ชัดเจนว่าอยู่ที่หน่วยงานใด เพราะมีหลายหน่วยงานมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง และมักจะต่างหน่วยต่างทำ เกิดสภาพปัญหาเรื้อรังของผลการเรียนรู้ต่ำ และหาผู้รับผิดรับชอบไม่ได้
ระบบการวัดและสารสนเทศ
ระบบการศึกษาที่ดี ต้องการระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการการศึกษา (education management information systems) ที่ดี โดยต้องมีสารสนเทศด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ด้วยเสมอ สำหรับใช้ในการสื่อสารสาธารณะ ให้พ่อแม่ผู้ปกครองและผู้นำชุมชนใช้เป็นข้อมูลหลักฐานเรียกร้องความรับผิดรับชอบจากโรงเรียน และสำหรับใช้เป็น feedback ให้มี double learning loop ในการบริหารระบบการศึกษา
ระบบการเงิน
มีหลักฐานข้อมูลจากประเทศทั่วโลก บอกว่าระดับงบประมาณด้านการศึกษาไม่มีสหสัมพันธ์กับระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือมีสหสัมพันธ์ต่ำมาก กล่าวใหม่ว่า ประเทศที่คุณภาพการศึกษาต่ำ ตัวสาเหตุมักไม่ใช่เพราะจัดสรรงบประมาณน้อยเกินไป แต่มักเกิดจากงบประมาณรั่วไหล (คอร์รัปชั่น) หรือมีการใช้เงินไปในทางที่ไม่หนุนผลลัพธ์การเรียนรู้ของเด็ก มีประเทศจำนวนไม่น้อย (รวมทั้งประเทศไทย) ที่ใช้เงินด้านการศึกษาสูงมาก แต่ผลลัพธ์การเรียนรู้ต่ำมาก โดยดูจากผลการสอบ PISA
จึงมีคำแนะนำต่อประเทศที่ผลการเรียนรู้ต่ำ ว่าหากจะแก้ปัญหาโดยเพิ่มงบประมาณ ก็ต้องไม่ใช้เงินในรูปแบบเดิม ต้องฉีกแนวการใช้เงิน โดยมีหลักฐานว่าการใช้เงินที่เพิ่มนั้นในรูปแบบใหม่ จะส่งผลยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน
ที่จริง ระบบสารสนเทศด้านการศึกษาที่ดี จะช่วยบอกว่าควรแก้ไขระบบการใช้เงินหนุนการศึกษาอย่างไร ในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการเงินด้านการศึกษา แต่ในประเทศที่ระบบการศึกษาอ่อนแอบางประเทศ เงินที่รัฐใช้หนุนระบบการศึกษาร้อยละ ๘๐ ไปที่เงินเดือนและสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีเงินเหลือน้อยมากที่จะนำมาเปลี่ยนระบบการจัดการให้ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก
ระบบแรงจูงใจ
ระบบแรงจูงใจต่อครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เอาใจใส่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน มีทั้งส่วนที่ไม่ใช่เงิน (ฐานะในสังคม โอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเอง และแรงบันดาลใจภายในตน) และส่วนที่เป็นเงินตอบแทน การที่มีระบบให้ครูและโรงเรียนต้องรับผิดรับชอบต่อผู้ปกครองนักเรียน และต่อชุมชน ในผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ก็เป็นแรงจูงใจต่อครูและผู้นำในระบบการศึกษา
การมีระบบพัฒนาครูประจำการที่เข้มแข็ง มีการวัดผลงานครู และมีการให้เงินเดือน ค่าตอบแทนเพิ่ม หรือเลื่อนวิทยะฐานะ ตามผลงาน เป็นแรงจูงใจที่ได้ผลดี จะเห็นว่าระบบการศึกษาไทยมีโอกาสปรับปรุงได้อีกมากในประเด็นนี้ แต่ก็ขึ้นกับความกล้าหาญของผู้กำหนดนโยบาย
ความเชื่อมโยงให้ปัจจัยหลักทั้งสี่ทำงานร่วมกัน คือทางออก
เขายกตัวอย่างมณฑลเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นตัวอย่าง ที่ดำเนินการยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนด้วยการจัดการให้ปัจจัยหลักทั้งสี่ของระบบการศึกษามีความเข้มแข็ง และทำงานเสริมแรงกัน จนผลการทดสอบ PISA 2012 ได้เป็นอันดับ ๑ ของโลกทั้งสามวิชา คือการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
ผู้บริหารการศึกษาของมณฑลเซี่ยงไฮ้กำหนดเป้าหมายผลลัพธ์การเรียนรู้ที่นักเรียนจะต้องบรรลุในแต่ละชั้นปี ไว้อย่างชัดเจนในมาตรฐานการศึกษา และมอบหมายให้ครูรับผิดชอบตีความสู่การจัดการเรียนการสอนให้บรรลุผล โรงเรียนมีหน้าที่ประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักเรียน ได้เป็นสารสนเทศป้อนกลับให้ครูปรับปรุงการสอน และป้อนกลับไปยังระบบการศึกษา เป็นสารสนเทศในการประเมินและติดตามผลงานของครู รวมทั้งจัดระบบสนับสนุนครู ระบบการเงิน ส่วนที่เป็นค่าตอบแทนครู ทำให้ครูมีรายได้สูง และครูที่ทำงานนานและผลงานดีจะมีรายได้สูงกว่าครูเข้าใหม่อย่างชัดเจน การสนับสนุนครู ทำให้ครูมีภาระงานไม่หนักมากนัก มีเวลาสำหรับการพัฒนาตนเอง และในการเตรียมการสอน ระบบแรงจูงใจต่อครู มาจากการที่สังคมให้ความยกย่องนับถือครู และระดับเงินเดือนที่สูงเป็นแรงจูงใจดึงดูดคนเก่ง (และดี) มาเป็นครู การมีระบบ “ครูตัวอย่าง” (model teacher) และมีระบบเงินเดือนที่ส่วนหนึ่ง (ในสัดส่วนที่น้อย) จ่ายตามผลงาน ช่วยเป็นแรงจูงใจให้ครูเอาใจใส่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของศิษย์
ความซับซ้อนทางเทคนิคเป็นเหตุให้ระบบการศึกษาไม่ดำเนินไปเพื่อการเรียนรู้
เขายกตัวอย่างความซับซ้อนของระบบการศึกษาของประเทศฟิลิปปินส์ แต่ผมคิดว่าเราสามารถมองที่ระบบการศึกษาไทยก็ได้ ที่ระบบการศึกษาภาครัฐมีหน่วยงานย่อยดูแลจำนวนมากมาย ทั้งในและนอกกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งโดย อปท. มีระบบการประเมินและการติดตามงานจากส่วนกลางหลายระบบ รวมทั้งระบบ “การพัฒนา” การศึกษาโดยริเริ่มโครงการใหม่ๆ จากส่วนกลาง ที่สั่งการไปให้โรงเรียนดำเนินการและส่งรายงาน ความซับซ้อนชุลมุนเหล่านี้ทำให้ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนถูกเบียดออกไปจากความสนใจ และก่อลักษณะด้อยของระบบการศึกษา ๓ ประการคือ ไม่โปร่งใส มีแรงเฉื่อยสูง และ ขาดความสามารถในการพัฒนาระบบ
การที่ระบบการศึกษามีเป้าหมายหลายเป้า และมีหน่วยงานรับผิดชอบหลายหน่วย ทำให้ระบบการศึกษาไม่โปร่งใส
มองด้านเป้าหมายที่ตัวนักเรียน นอกจากเป้าหมายเตรียมตัวเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีงานทำและมีชีวิตที่ดี ยังมีเป้าลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป้าพัฒนานักเรียนให้รู้จักชุมชนของตน เกิดความรักความผูกพันกับชุมชน ในขณะเดียวกัน นักการเมืองก็มีเป้าหมายของตน ที่จะใช้ผลประโยชน์ในระบบการศึกษาตอบแทนครูที่เป็นหัวคะแนนของตน รวมทั้งใช้มาตรการทางการศึกษาเพื่อประโยชน์ต่อหาเสียงเลือกตั้ง
การดำเนินการเพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนมีรายละเอียดขั้นตอนมาก โดยเน้นการพัฒนาปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน จึงต้องพัฒนาครูให้มีทักษะชั้นเรียนที่ต้องการ และต้องดำเนินการประเมินเพื่อใช้เป็นข้อมูล feedback ให้ครูและโรงเรียนปรับปรุงวิธีจัดการเรียนรู้ ในหลายกรณีการประเมินสื่อสารเป้าหมายที่เบี่ยงเบน แทนที่จะเป็นคุณต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนทั้งหมด กลับส่งผลให้ครูและนักเรียนเอาใจใส่เฉพาะเด็กที่มีผลการเรียนดี เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่โรงเรียน (แบบปลอมๆ) ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง โดยที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่รู้ตัว มีผลเพิ่มความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษา นี่คือความไม่โปร่งใสที่น่าตกใจ และดำรงอยู่ในระบบการศึกษาของประเทศที่คุณภาพการศึกษาต่ำ ประเทศไทยตกอยู่ในกลุ่มนี้
ระบบการศึกษามีแรงเฉื่อยสูง
เป็นธรรมชาติของระบบการศึกษาที่เปลี่ยนได้ช้า ประสบการณ์การปฏิรูประบบการศึกษาของฟินแลนด์และชิลี กว่าจะเห็นผลก็หลังจากดำเนินการไปกว่าสิบปี ประสบการณ์ในบางเขตพื้นที่การศึกษาของสหรัฐอเมริกา มาตรการยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้เห็นผลในเวลา ๘ - ๑๔ ปี
ธรรมชาติดังกล่าว ทำให้การดำเนินการยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ในระบบการศึกษา ต้องเอาชนะอุปสรรคสำคัญ ๒ ประการ คือ (๑) ความต่อเนื่องของนโยบาย และ (๒) การประเมินผลของมาตรการ ที่เป็นผลระยะยาว ซึ่งในช่วงดังกล่าวมีการออกมาตรการหลายอย่าง ทำให้สรุปได้ยากว่าผลดีที่เกิดขึ้นมาจากมาตรการใด
ขาดความสามารถในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของทั้งระบบ
ความไม่โปร่งใส และแรงเฉื่อยในระบบการศึกษา ทำให้การยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นเรื่องไม่ง่าย และเมื่อผสานกับความอ่อนแอด้านการจัดการมาตรการที่กำหนดของระบบการศึกษา เราจึงเห็นสภาพผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ด้อย อย่างที่เห็นในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
มีปัจจัยสำคัญ ๕ ประการ ที่ทำให้เกิดการจัดการที่ทรงคุณภาพ ได้แก่ (๑) ภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง (๒) การประสานงานระหว่างหน่วยงาน (๓) ทีมจัดการที่เอาจริงเอาจัง (๔) ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (๕) แก้ปัญหาได้ทันท่วงที
ในระดับนโยบาย มีหลุมพราง ๔ ประการ ได้แก่ (๑) การประเมินผลที่น่าเชื่อถือทำได้ยาก (๒) เห็นความล้มเหลวง่ายกว่าเห็นความสำเร็จ (๓) อคตินำไปสู่การเลือกใช้เฉพาะข้อมูลที่สนับสนุนความคิดของตน (๔) นักการศึกษาที่มีประสบการณ์ส่วนตัวในสถาบันการศึกษาคุณภาพสูง ไม่เข้าใจระบบการศึกษาคุณภาพสูงเพื่อทุกคน
สาเหตุระดับรากฐานที่ทำให้จ่ายมาก ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้น้อย
มีสาเหตุสำคัญ ๕ ประการ ได้แก่ (๑) จ่ายอย่างไม่เท่าเทียม (๒) เงินไปไม่ถึงโรงเรียน หรือไม่ได้ใช้ตามความต้องการแท้จริงของโรงเรียน (๓) รัฐจ่ายเพิ่มทำให้ครัวเรือนเลิกจ่าย (๔) การใช้เงินภาครัฐไม่ตรงสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ (๕) หน่วยงานภาครัฐขาดสมรรถนะในการใช้เงินเพื่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน
การใช้จ่ายเงินภาครัฐมักไม่ให้ประโยชน์แก่เด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาส
แนวทางการใช้จ่ายเงินด้านการศึกษาของรัฐมักให้ประโยชน์แก่เด็กจากครอบครัวฐานะดี ซึ่งมักมีสิทธิมีเสียงมากกว่า นอกจากความไม่เท่าเทียมด้านการจัดสรรเงิน ยังมีความไม่เท่าเทียมด้านคุณภาพการศึกษาที่จัดให้แก่เด็กจากครอบครัวฐานะดี กับเด็กจากครอบครัวยากจน
เงินไปไม่ถึงโรงเรียน หรือไม่ได้ใช้ตามความต้องการแท้จริงของโรงเรียน
มีตัวเลขจากประเทศรายได้ต่ำ ว่าเงินสนับสนุนตรงต่อโรงเรียนที่รัฐจัดให้ ประมาณหนึ่งในสี่ถึงหนึ่งในสาม ไปไม่ถึงโรงเรียน และโรงเรียนของเด็กยากจนมักได้รับในสัดส่วนที่น้อยกว่า ผมเคยเขียนบันทึกผลการศึกษา National Education Account ของประเทศไทย มีหลักฐานชัดเจนว่า ในปี ๒๕๕๙ เงินช่วยเหลือนักเรียนยากจนเพียงร้อยละ ๓๒ ไปถึงตัวเด็ก (๒)
รัฐจ่ายเพิ่มทำให้ครัวเรือนเลิกจ่าย
ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของทุกประเทศ มาจากงบประมาณภาครัฐ และเงินใช้จ่ายภาคประชาชน แต่ละประเทศมีสัดส่วนของการใช้จ่ายสองภาคนี้แตกต่างกัน และมีหลักฐานจากหลายประเทศว่า เมื่อภาครัฐเพิ่มเงินสนับสนุนการศึกษา ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของประเทศไม่เพิ่มขึ้น เพราะภาคประชาชนลดค่าใช้จ่ายของตนลง
การใช้เงินภาครัฐไม่ตรงสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้
เงินสนับสนุนการศึกษาจากภาครัฐมักมาจากหลายทาง ตรงไปยังจุดใช้เงินต่างจุดกัน และมักมีการใช้จ่ายแบบไม่สอดคล้อง (align) กัน คือมักจ่ายตามภารกิจของหน่วยจ่ายเงิน ไม่ใช่ตามความต้องการของแต่ละโรงเรียน จึงมักไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้
หน่วยงานภาครัฐขาดสมรรถนะในการใช้เงินเพื่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน
เขายกตัวอย่างในประเทศฟิลิปปินส์ ที่รัฐบาลมีนโยบายขยายระดับการศึกษา ทำให้ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากสร้างอาคารเรียน แต่การก่อสร้างล่าช้ามาก และเมื่อสร้างเสร็จ ครูบ่นว่าใช้ประโยชน์ได้ไม่ตรงความต้องการ
ทำให้ผมนึกถึงกรณีโครงการคอมพิวเตอร์โรงเรียน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการท่านหนึ่งเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่รัฐเสียเงินไปมากมาย แต่ไม่เห็นผลที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ ซึ่งในกรณีนี้เป็นตัวอย่างของบทบาทของภาคการเมือง ที่จะกล่าวถึงในตอนต่อไป
หลักการสำคัญคือ ต้องไม่เน้นจ่ายเพิ่ม แต่ต้องเน้น “จ่ายอย่างฉลาด” คือจ่ายแล้วผลลัพธ์การเรียนรู้ของนกเรียนเพิ่มขึ้น
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ก.ค. ๖๒
ห้องโถง อาคารสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ไม่มีความเห็น