ธนาคารโลกตีพิมพ์ World Development Report 2018 : Learning to Realize Education’s Promise (1) ส่งสัญญาณต่อโลก ว่าการศึกษามีคุณค่าต่อพัฒนาการของโลกและของประเทศต่างๆ มากกว่าที่เราคิด มีคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์แต่ละชีวิตในทุกสังคม โดยเขาไม่ได้แค่บอกความสำคัญของการศึกษา ยังบอกวิธีการบรรลุผลการศึกษาคุณภาพสูงไว้ด้วย อ่านแล้วเห็นชัดเจนว่า การจัดทำรายงานนี้มีการค้นคว้ามาก และเขียนอย่างประณีต เป็นเอกสารด้านการศึกษาที่มีประโยชน์ยิ่ง ผมขอเสนอให้ผู้รับผิดชอบระบบการศึกษาไทย และนักการศึกษาไทย อ่านเอกสารนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ และหาทางนำมาประยุกต์ใช้ในการกอบกู้คุณภาพการศึกษาไทย
แก่นของสาระในรายงานคือ ต้องยึด “การเรียนรู้” เป็นศูนย์กลาง
แปลกไหมครับ ระบบการศึกษาส่วนใหญ่ ไม่ได้ยึดการเรียนรู้เป็นศูนย์กลาง หรือเป็นเป้าหมายหลัก
รายงานนี้มี ๔ ส่วน ได้แก่ (๑) พันธสัญญาของการศึกษา (๒) ต้องเน้นที่การเรียนรู้ (๓) วิธีทำให้โรงเรียนสนองผู้เรียน (๔) วิธีทำให้ระบบสนองการเรียนรู้
แปลกมากนะครับ ที่รายงานนี้บอกว่า ระบบการศึกษาของประเทศส่วนใหญ่ไม่สนองการเรียนรู้ ผมเข้าใจว่า ระบบการศึกษาไทยก็เป็นเช่นนั้น เราจะได้ทำความเข้าใจในตอนที่ ๔ ของรายงาน ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และจะดึงระบบการศึกษาออกจากหุบเหวนั้นได้อย่างไร
ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอเล่าว่า สื่อมวลชนของประเทศต่างๆ กล่าวถึงร่างรายงานนี้อย่างไร เว็บไซต์ของธนาคารโลกนำข้อมูลนี้มาลงไว้ที่ (๒) ทำให้สามารถค้นคว้าเปรียบเทียบได้ สำหรับในประเทศไทย นสพ. บางกอกโพสต์ลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตั้งข้อสงสัยว่า มีใครบ้างในประเทศไทยสนใจรายงานนี้ เพราะมีหลายรายงานจากองค์การระหว่างประเทศที่ชี้ให้เห็นความอ่อนแอของระบบการศึกษาไทย แต่ไม่มีการแก้ไข (๓)
หนังสือพิมพ์ New Strait Times ของมาเลเซียลงบทความเสนอความเห็นต่อการศึกษาของมาเลเซียหลังจากอ่าน WDR 2018 เน้นที่การเรียนภาษา โดยผู้เขียนเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักเขียนอยู่ที่ลอนดอน (๔) ส่วนที่ประเทศฟิลิปปินส์ หนังสือพิมพ์ Manila Bulletin ลงบทความสะท้อนคิดหลังอ่านรายงาน WDR 2018 และไปฟังการอภิปรายเรื่องนี้ ว่าต้องเน้นแก้ความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา และยกตัวอย่างผู้นำที่เป็นตัวอย่างที่ดีด้านพัฒนาการศึกษา (๕)
ส่วนที่อินเดียหนังสือพิมพ์ The Hindu ลงบทความของผู้เขียนที่ทำงานอยู่ใน IAS (Indian Administrative Service) โดยระบุว่าเป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่เกี่ยวกับหน่วยงาน ระบุว่า (๑) รายงานนี้เขียนแบบ “right-based approach” และเน้นการศึกษาพาสู่อิสรภาพ (๒) ปัญหาสำคัญที่พัฒนาการของเด็กเล็ก ที่จะต้องเอาชนะภาวะทุพโภชนาการ อันเกิดจากความยากจน (๓) เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ เฉพาะเมื่อเทคโนโลยีนั้นช่วยส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน (๔) รายงานบอกว่าระบุได้ไม่ชัดว่ากลุ่มไหนดีกว่ากัน ระหว่างโรงเรียนเอกชนกับโรงเรียนรัฐ (๕) ยังมีความขาดแคลนครู (๖)
ที่ปากีสถานหนังสือพิมพ์ Dawn ลงบทความของนักวิจัย โยงประเด็นใน WDR 2018 เข้าสู่สภาพแรงงานในประเทศ และเอ่ยถึง Annual Status of Education Report 2016 ที่ระบุชัดว่า ในปากีสถาน โรงเรียนเอกชนคุณภาพดีกว่าโรงเรียนของรัฐ เขาลงท้ายด้วยหลักการ all for education (๗)
ผมยกตัวอย่างข่าวหรือบทความในหนังสือพิมพ์ในบางประเทศในภูมิภาคเอเชีย เพื่อจะตั้งข้อสังเกตว่า ยกเว้นประเทศอินเดียที่มีข้าราชการเขียนถึงรายงานนี้ ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ที่ยกมา ข้อเขียนในหนังสือพิมพ์เป็นของ “คนนอก” ทั้งสิ้น ไม่มีคนในวงการศึกษาเลย แม้แต่ที่อินเดียผู้เขียนบอกว่าเป็นข้าราชการ ก็ไม่ได้ระบุว่าอยู่ในวงการศึกษา ทำให้เป็นข้อสงสัยว่า คนในวงการศึกษาของประเทศต่างๆ มีปฏิกิริยาต่อรายงานนี้อย่างไร
ประเทศไทยมี รายงานการศึกษาไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ (๘) ซึ่งสาระแตกต่างจาก WDR 2018 โดยสิ้นเชิง คือรายงานการศึกษาไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ ไม่แตะเรื่อง “การเรียนรู้” เลย ซึ่งน่าจะเป็นตัวบอกว่าชุดความคิดของคนในระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างไร รายงานนี้ตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ในบรรณานุกรมไม่อ้างถึง WDR 2018 และรายงานอื่นๆ ขององค์การระหว่างประเทศ ที่กล่าวถึงคุณภาพของระบบการศึกษาไทยเลย รวมทั้งรายงานของธนาคารโลกเรื่อง Growing Smarter : Learning and Equitable Development in East Asia and Pacific (๙)
หันไปดูปฏิกิริยาในหนังสือพิมพ์ของประเทศที่การศึกษามีคุณภาพสูงกันบ้าง หนังสือพิมพ์ China Daily ของจีนลงข่าวที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวซินหัว พาดหัวว่า World Bank warns of global learning crisis (๑๐) โปรดดูภาพประกอบนะครับ ว่าเขาสื่ออะไร
น่าเสียดาย ที่ข่าวจากประเทศที่คุณภาพการศึกษาสูงในยุโรปเหนือ เป็นภาษาท้องถิ่น ผมอ่านไม่ออก จึงไม่ทราบว่าวงการศึกษา และสังคมของเขามีปฏิกิริยาอย่างไร
ในขณะที่ผมตีความว่า วงการศึกษาไทยมีปฏิกิริยาในลักษณะ “ไม่สนใจ” ซึ่งก็สะท้อนประเด็นที่จะต้องพัฒนาในระดับนโยบายของประเทศ
ขอย้ำว่า ข้อตีความของผมอาจผิดพลาด และขออภัยหากไปล่วงละเมิดความรู้สึกของท่านใดเข้า ข้อเขียนนี้ไม่มุ่งร้ายใคร แต่มุ่งชักชวนกันฟื้นคุณภาพการศึกษาไทยกลับมา เพื่อคุณภาพพลเมืองไทยในอนาคต ซึ่งผมคงไม่มีโอกาสได้มีชีวิตยืนยาวจนเห็นผลที่มุ่งหวัง แต่ผมก็เชื่อว่าคนไทยร่วมกันทำให้บรรลุได้
ขอเชิญชวนให้เข้าไปที่หน้า ๒ ของรายงาน ที่เขาสรุปประเด็นเพื่อดำเนินการ (Action) เป็น 3As คือ (1) Assess learning (to make it a serious goal) (2) Act on evidence (to make schools work for all learners (3) Align actors (to make the whole system work for learning) ผมตีความว่า นี่คือแก่นของสาระในรายงาน
โยงเข้าหาระบบการศึกษาไทย ผมคิดว่า หากผู้รับผิดชอบระบบการศึกษาไทยดำเนินการนโยบายตาม ๓ ข้อข้างบน ก็จะเป็นเส้นทางสู่การพลิกฟื้นคุณภาพการศึกษาของประเทศ โดยขอย้ำว่าสิ่งที่พึงปฏิบัติคือ (๑) ประเมินการเรียนรู้ เพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาอย่างจริงจัง (๒) ดำเนินการตามข้อมูลหลักฐาน เพื่อทำให้โรงเรียนเอาใจใส่ผู้เรียนทุกคน (๓) ทำให้ภาคีที่หลากหลายรวมพลังกัน ทำให้ระบบการศึกษารับใช้ผู้เรียน ทั้ง ๓ ข้อนี้ พุ่งเป้าที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
วิจารณ์ พานิช
๑๖ มิ.ย. ๖๒
ไม่มีความเห็น