ในการประชุมกลุ่มสามพรานเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ ท่านคณบดีวิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล (พญ. วัชรา ริ้วไพบูลย์) เสนอเรื่อง Flexible Education (1) (2) เพื่อขอคำแนะนำจากที่ประชุม ฟังแล้วผมได้ความรู้ว่า ถึงยุคที่การศึกษาจะต้องจัดแบบ Flexible Learning เพื่อประโยชน์ของผู้เรียนที่อยู่ในสภาพแตกต่างกัน
อ. หมอวัชรา สนใจเอาการเรียนแบบยืดหยุ่นไปใช้ในวิทยาลัยราชสุดา ก็เพราะที่นั่นสอน นศ. พิการ รวมทั้งต้องการเข้าถึงคนไม่พิการที่มีงานทำแล้ว เพื่อไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ
แต่ผมฟังแล้วคิดว่า อุดมศึกษาในอนาคตจะต้องพัฒนาสู่การเรียนแบบยืดหยุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเข้าถึงคนทุกกลุ่มอายุ ทุกสถานะของการดำรงชีพ โดยที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบที่กำกับโดย กกอ./สกอ. ที่ตึงและมีรูปแบตายตัวเกินไป จากความหวังดีเรื่องคุณภาพ เพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการอุดมศึกษาแนวยืดหยุ่น กกอ./สกอ. ต้องเน้นกำกับคุณภาพขาออก ไม่ใช่เน้นกำกับคุณภาพขาเข้าอย่างในปัจจุบัน
ยืดหยุ่นอะไร เว็บไซต์ทั้งสองบอกว่า ยืดหยุ่นคุณสมบัติของผู้เข้าเรียน เวลาเรียน สถานที่เรียน (place) วิธีจัดหลักสูตร วิธีเรียน (mode) ความเร็วในการเรียน (pace) วิธีประเมิน และการให้ใบรับรอง หลักการสำคัญคือเปลี่ยนจากการจัดการศึกษาแบบ mass เพื่อความสะดวกของอาจารย์และสถาบัน เป็นจัดการเรียนรู้แบบ individualized/personalized เพื่อความสะดวกของผู้เรียน
ผมขอเสนอว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่มหาวิทยาลัยไทยจะหันไปจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่น คู่ไปกับการจัดการศึกษาแบบเดิม โดยที่ต้องตระหนักว่า การศึกษาแบบเดิมที่นักศึกษามาอยู่ร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อเรียนรู้จากชีวิตมหาวิทยาลัย (campus life) มีคุณค่าต่อการหล่อหลอมเชิงวัฒนธรรมมาก ช่วยให้บรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ที่เรียกว่า 21st Century Skills ครบถ้วน แต่การเรียนรู้แบบนี้มีข้อจำกัดที่สนองผู้เรียนได้เฉพาะในวัย ๑๗ – ๒๔ เท่านั้น
ขอเสนอว่า แม้ นศ. ที่เรียนแบบเดิมที่มาเรียนร่วมกันในมหาวิทยาลัยก็จัดให้เรียนแบบ personalized ได้ ผมไปเห็นที่เมืองจีนตอนไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (๔) นักศึกษาชั้นเดียวกัน เรียนสาขาเดียวกัน แยกย้ายกันไปเรียนวิชาตามที่ตนเลือก ไม่ได้เรียนเป็นชั้นเรียนในสาขาเดียวกันแบบที่ผมเคยเรียนทึ่จุฬาฯ และมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์
เครื่องอำนวยความสะดวกต่อ flexible learning คือ พัฒนาการด้าน ไอที ที่ทำให้มี MOOCs ให้บริการแก่คนทั้งโลก ที่มหาวิทยาลัยไทยสามารถกำหนดให้นักศึกษาเข้าไปเรียน เพื่อให้ได้ความรู้พื้นฐานเชิงหลักการ แล้วมหาวิทยาลัยไทยจัด online & offline class เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนถูกต้อง และเชื่อมโยงเข้าสู่สถานการณ์ไทย หรือฝึกปฏิบัติในบริบทไทย ซึ่งหมายความว่า flexible learning model มีทั้งแบบ blended และ online learning อ่านเรื่อง flexible pedagogies : technology-enhanced learning ได้ที่ (3) ซึ่งมีหลักการที่น่าสนใจมาก
เอกสารนี้ (๕) ก็น่าสนใจมาก
สำหรับมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีโรงเรียนแพทย์ถึงสองแห่ง รับนักศึกษาปีละ ๕ - ๖๐๐ คน กล่าวกันว่าประมาณร้อยละสิบของนักศึกษา มาพบทีหลังว่าไม่อยากเรียนแพทย์ หลายคนต้องลาออกไปเริ่มต้นเรียนสาขาอื่นใหม่ หากมีการศึกษาแบบยืดหยุ่น นักศึกษาเหล่านี้สามารถถ่ายโอนหน่วยกิต (บางส่วน) ไปเรียนสาขาอื่นได้
วิจารณ์ พานิช
๑๕ มิ.ย. ๖๒
ไม่มีความเห็น