วันนี้ผมได้รับเชิญจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกฯ ให้เป็นวิทยากรอบรมพัฒนาทักษะความเป็นครูของนักวิชาการฝึกอบรม(ครูช่าง) ในหัวข้อ "จิตสำนึกความเป็นครูสอนวิชาชีพ" ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมต่างเป็นครูสอนผู้เรียนที่เป็นลูกหลานของทหารผ่านศึก จำนวน 25 คน มีทั้งครูที่สอนวิชาช่างไฟฟ้า วิชาช่างอีเล็กทรอนิกส์ วิชาช่างพิมพ์ดีดและคอมพิวเตอร์ วิชาช่างโลหะ วิชาช่างเครื่องยนต์ วิชาขับรถยนต์ และวิชาคหกรรม
ผมเข้าใจพื้นฐานและธรรมชาติของครูช่างดังกล่าวดี ว่าเขาคงเบื่อไม่ชอบที่จะมานั่งฟังการบรรยายแล้วฉาย powerpoint ของวิทยากร ผมจึงหันมาใช้ "กิจกรรมสุนทรียสนทนา" ชวนพูดชวนคุย อย่างกัลยาณมิตร เสียดายที่ไม่สามารถจัดห้องประชุมให้ล้อมวงนั่งคุยกันอย่างใกล้ชิดได้ เพราะห้องถูกจัดไว้ตายตัว เลยไม่เป็นธรรมชาตินัก
ประเด็นคำถาม"สุนทรียสนทนา" ที่ผมชวนเขาคุยเป็นรายคนถามสลับเป็นช่วงๆ (สลับกับการใช้สื่อ และวิธีการอื่นประกอบ) คือ
1.ให้แต่ละคนย้อนนึกไปถึงตอนเรียนชั้นประถม หรือมัธยม หรืออาชีวะ หรือมหาวิทยาลัยว่า ตนเองประทับใจการสอนของคุณครูท่านใดมากที่สุด(คุณครูท่านเดียว ระดับใดก็ได้) และบอกด้วยว่าท่านสอนยังไง ตัวเองถึงประทับใจท่าน (ถามช่วงแรก)
2.ลองรำลึกเหตุการณ์ที่ผ่านมาในการสอนของตัวเอง ตามวิชาที่ตัวเองรับผิดชอบ แล้วเล่าวิธีการสอนที่ตัวเองภาคภูมิใจมากที่สุด อย่างย่อๆมาสัก 1 เหตุการณ์ คนละไม่เกิน 2 นาที (ถามเมื่อทำกิจกรรมและบรรยายไปได้สักพัก)
3. ตอนนี้พอจะบอกได้หรือยังว่า ยังมีเรื่องอะไรที่คิดว่าตนเองยังทำหน้าที่การเป็นครูผู้สอนไม่ดีพอ และคิดว่าต่อไปนี้ตนเองจะปรับปรุงการสอนอย่างไรให้ดีขึ่น (ถามเมื่อใกล้จะหมดเวลา)
ผมเองก็ต้องเล่าเรื่องของตนเองทั้ง 3 ประเด็น ร่วมไปกับเขาด้วยเหมือนกัน ปรากฏว่าเกิดบรรยากาศที่ดีเกินคาด ครูช่างทั้งหลาย(ที่ดูหน้าตาค่อนข้างถมึงทึงตอนแรก) ต่างเปิดใจ ละทิ้งตัวตน ละทิ้งอคติ ไม่มีช่องว่างระหว่างวัย ต่างเล่าและฟังเพื่อนเล่าด้วยความสนุกสนาน ตั้งใจ และกล้าที่จะเปิดเผยความในใจของตน
บัดนี้ "ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน" "ปูว่าหอย แม้กล้วย ว่ากล้าย เรียมตาม" เกิดขึ้นแล้ว วิทยากรจะพูดอะไร ฉายอะไรให้ดูก็สนใจกันทั้งนั้น
ไม่มีความเห็น