ชีวิตที่พอเพียง 3448. ไปสวิส ๒๕๖๒ ๑. เดินทาง

              ปีนี้มีการประชุมเตรียมจัด PMAC ที่มงเทรอซ์อย่างเคย   โดยประชุมระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒    และปีนี้ผมไม่เข้าประชุม WHA ต่อ    จึงอยู่ในสวิสเพียง ๓ วัน คือ ๑๕ – ๑๗    วันที่ ๑๘ เดินทางกลับ มาถึงกรุงเทพเช้าวันที่ ๑๙  

                 ทีม PMAC Secretariat จัดการเดินทางขาไป โดยสายการบิน Austrian Airlines OS 26  Bangkok – Vienna  23.45 – 5.35 (16 May),   OS 571  Vienna – Geneva  7.10-8.50     ส่วนขากลับใช้สายการบิน Swiss Air  วันที่ ๑๘ พฤษภาคม LX 2809 Geneva – Zurich  11.00-11.55,   LX 4300  Zurich – Bangkok  13.30 – 5.30 (19 May)  

                เย็นวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ผมเรียกแท็กซี่มารับเวลา ๑๙.๓๐ น.    แต่เขามาเร็ว เราจึงออกจากบ้าน ๑๙.๑๕ น. รถแล่นฉลุย จนใกล้ถึงด่านเก็บเงินก็ติดขบวนเสด็จอยู่ราวๆ ๕ นาที แล้วฉลุยต่อ  หลังด่าน ๒๕ บาทรถชะลอตัวเพราะรถมาก    หลังทางออกรามคำแหงก็ฉลุยต่อ    ราวๆ สองทุ่มก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ    และราวๆ ๒๐.๓๐ น. ผมก็ไปนั่งดื่มไวน์แดงที่ห้องรับรอง EVA Air ที่มีบริการดีกว่าห้องรับรองการบินไทย    ที่แตกต่างมากคือมีมะพร้าวอ่อนเผา  และไอศครีมเลิศรส    และคนก็ไม่พลุกพล่านมาก     นั่งกินอาหารและเครื่องดื่มพร้อมกับเขียน บล็อก อยู่ราวๆ ๑ ชั่วโมง (เขียน บล็อก ชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลนตอนที่ ๒๕ ซึ่งเป็นตอนรองสุดท้ายของชุดเสร็จ)    อ. บุ๋ม ก็เดินเข้ามา     ตามด้วย นพ. จเด็จ ธรรมธัชอารี  

               เราออกจาก ประตู E1A ซึ่งหมายความว่าต้องนั่งรถไปขึ้นเครื่องบิน     ระหว่างเดินไปที่ Gate ผ่านห้องรับรองการบินไทย ศ. นพ. ปิยะมิตร เดินออกมาพอดี    เมื่อไปขึ้นเครื่องก็พบ ศ. นพ. ประสิทธิ์ นั่งอยู่แล้ว     ผมได้ที่นั่ง/นอน 3D  คู่กับ นพ. จเด็จ     เป็นที่นั่งกลางลำ     มีที่นั่ง 3A นั่ง/นอนสบายมาก เพราะเป็นที่เดี่ยว มีที่วางของสองข้าง     ซึ่งก็คือที่สอดตัวเข้าไปนอนของผู้โดยสารข้างหลัง   เครื่องบินเป็น Boeing 777-200

                เมื่อเครื่องขึ้นเรียบร้อย ผมกินยาแล้วนอน ไม่กินอาหารที่เลี้ยงเอิกเกริกมาก    และทราบว่าอร่อยมาก     ผมเข้านอนตั้งแต่เวลา ตีหนึ่งไทย ไปถึง ๖.๔๕ น.  โดยลุกเข้าห้องน้ำ ๑ ครั้ง    ที่นอนนอนไม่สบายนัก เพราะแคบ    และแขนผมโผล่ไปที่ทางเดิน คนเดินเฉี่ยวอยู่เรื่อย    แสดงว่าคนออกแบบไม่ได้ทดลองนอน    

                ลุกขึ้นมาเขียน บล็อก อ่านหนังสือ และเตรียม PowerPoint การบรรยายเรื่อง ปัจจัยสู่การเรียนรู้ที่เร้าแรงบันดาลใจ ที่จะไปพูดที่ วพ. บรมราชชนนี นนทบุรี วันที่ ๒๑ เมษายนนี้     เมื่อไฟของเครื่อง Acer NoteBook เหลือประมาณครึ่งหนึ่ง ผมเสียบไฟ แต่ไม่มีไฟ    ตามเจ้าหน้าที่มาแก้ไข ก็ไม่สำเร็จ    ลงท้ายเขาเอาไปชาร์จให้ที่ห้องกัปตัน    นอกจากนั้นจอเครื่องบันเทิงตรงหน้าก็มีแต่ภาษาจีน    ขยับไปภาษาอื่นไม่ได้    เขาจัดการ reset ก็ไม่ได้ผล    ต้องไป reset ที่เครื่องกลาง   

                 เครื่องลงที่เวียนนา เวลา ๖ น. ช้าเล็กน้อย    อุณหภูมิ ๖ องศาเซลเซียส ฟ้ามัว  ฝนเพิ่งหาย    เดินไปผ่านตรวจคนเข้าเมืองของ อียู    แล้วไปดูป้ายว่า เที่ยวบิน OS 571 ออกที่ Gate ไหน    พอรู้ว่า F 26 ก็ต้องรีบเดิน    ไปไกลพอสมควร    พอไปถึง Gate ว่าง     เราเข้าใจว่ายังไม่เรียก ทั้งๆ ที่ boarding pass บอกว่าเรียกขึ้นเครื่อง 6.40 น.   ตอนนั้น ๖.๔๔ น. แล้ว    นั่งสักครู่ อ. หมอปริญญ์มาเรียก ว่าผู้โดยสารขึ้นเครื่องหมดแล้ว    เป็นอุทาหรณ์ว่า ต้องไปตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ให้แน่ชัด อย่าทึกทักเอาเอง  

                 ผมได้ที่นั่ง 2C  เครื่องบินลำเล็ก Embraer E95   ที่นั่ง ๒ – ๒  น่าจะจุผู้โดยสาร ๘๐ คน    ผู้โดยสารไม่ถึงครึ่งลำ     เราซื้อตั๋วชั้นธุรกิจ เขาให้นั่งด้านหน้า คนละ ๒ ที่นั่ง         

                เครื่องออกตรงเวลา ๗.๑๐ น.   ใช้เวลาบิน ๑ ชั่วโมง ๒๕ นาที    ท้องฟ้ามีเมฆเต็ม   เมื่อใกล้ถึงเจนีวาฟ้าใส แดดจ้า ผมนั่งฝั่งซ้ายของเครื่องบิน เห็นเทือกเขา Mont Blanc ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน    รู้สึกว่าปีนี้หิมะบนยอดเขามากกว่าปีก่อนๆ    กัปตันบอกให้ดูยอดเขามองต์บลองค์ทางซ้าย และเมืองเจนีวาทางขวา ผมได้เห็นแต่ทางซ้าย

               ถึงสนามบินเจนีวาตรงเวลา    สังเกตว่าสนามบินมีการก่อสร้างเพิ่มเติมหรือปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา จากเครื่องบินเดินยาว มีทางเลื่อนยาวมาก ๔ ช่วง เราต้องไปรอรับกระเป๋าที่สายพานหมายเลข ๔ อยู่นานประมาณ ๒๐ นาที แล้วเดินไปขึ้นรถไฟ โดยทีม คุณฝนจัดการซื้อตั๋วไปมงเทรอซ์ ชั้นสองคนละ ๓๕ ฟรังก์   เราขึ้นรถ IR 90 Geneva Airport - Brig ออก ๙.๒๐ น.

เมื่อรถไฟผ่านเจนีวาผู้โดยสารขึ้นมามากจนรถค่อนข้างเต็ม อากาศดี แดดจ้า ฟ้าใส

              จากสถานีรถไฟ มงเทรอซ์ เรานั่งแท็กซี่ไปยังโรงแรม Royal Plaza    คณะของเรา ๘ คน นั่งรถ ๓ คัน    ผมได้ห้อง ๒๐๖ วิวทะเลสาบตรง    และมีระเบียงออกไปนั่งชมวิวและตากอากาศเย็นสบาย    ตอนบ่ายอุณหภูมิ ๑๗ องศาเซลเซียส 

ขากลับ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒

               ทีมไทยที่กลับวันนี้พร้อมกัน ๕ คน คือ คุณหมอนพพร ชื่นกลิ่น ผอ. สวรส., อ. หมอปริญญ์ วาทีสาธกกิจ, คุณฝน, คุณโอ, และผม     เรานัดขึ้นรถแท็กซี่ไปสนามบิน ๗.๒๐ น.  

               บรรยากาศเปลี่ยนจากฟ้าใส แดดจ้า  เป็นฟ้าหม่น ฝนตก ตั้งแต่บ่ายวานนี้ จนเช้าวันนี้    ผมเตรียมตัวเสร็จ ๖.๓๐ น. ก็ออกไปเดินเล่นริมทะเลสาบ    ตอนนั้นฝนไม่ตกและมีแสงพอสมควร    อุณหภูมิ ๑๓ องศา   

               นั่งรถ IR 90 ไปสนามบินเจนีวา     ออกจากมงเทรอซ์เวลา ๗.๔๗ น.   ขบวนรถไฟนี้ออกจาก Brig  ไปสุดทางที่สนามบินเจนีวา     เป็นรถไฟขบวนเดียวกับที่เรานั่งขามา    เรานั่งชั้นสอง คนมากพอควร    แต่ผมโชคดี หลังจากสถานีโลซานน์ คนลงมาก ผมหาที่นั่งที่หันหน้าไปด้านหน้าขบวนรถไฟและหันไปทางทะเลสาบได้    แถมยังนั่งคนเดียว    ได้ชมวิว เขียนบันทึก และอ่านหนังสือพิมพ์สบาย    ใช้เวลา ๑ ชม.  ๑๕ นาทีก็ถึงสนามบินเจนีวา      

              จากสถานีรถไฟเดินตามป้ายไปยังสนามบิน ต้องออกไปเดินนอกอาคารนิดหนึ่ง    ตัวสนามบินใหม่และสร้างโอ่อ่าสวยงามมาก    เราเช็คอิน ผ่านตรวจความปลอดภัย (fast track) แล้วไปนั่งที่ห้องรับรองสวิสแอร์    ผมลองกินไวน์แดง Merlot ไม่อร่อยเลย     กินกับสลัด 

                เครื่องบินออกตรงเวลา ๑๓.๓๐ น. เป็น TG 971 ใช้เครื่องบิน Boeing 747-400    ผมได้ที่นั่ง 2K    ที่ลักษณะน่าจะเป็นชั้น ๑ มากกว่า    คือแสนจะมีความเป็นส่วนตัว    และบริการหนังสือพิมพ์ นิตยสาร เครื่องดื่ม และของกินเล่นก็พรักพร้อม    ผมดื่มไวน์ขาว Montagny Buissonier ทำจากองุ่น Chardonnay อันเลื่องชื่อ    อร่อยมาก  

                กินอาหารหลัก (ผมเลือกปลา) ครบรายการแล้วผมก็แปรงฟันเข้านอนเวลา สามทุ่มครึ่งไทย     ที่นอนสบายที่สุดเท่าที่เคยนั่งเครื่องบิน ทั้งราบและกว้าง    นอนสบายเกือบเหมือนที่บ้านหรือโรงแรม    เวลาเกือบตีสี่เขาเตรียมเสิร์พอาหารเช้าผมก็ตื่นขึ้นมากินข้าวต้มที่เลือกไว้  ซึ่งเสิร์พพร้อมไข่เจียว และโยเกิร์ต    อิ่มแปล้โดยไม่ได้แตะขนมปังเลย     เวลา ๔.๓๐ น. ผมก็แปรงฟันเรียบร้อย และมานั่งพิมพ์บันทึกนี้      

                ก่อน ๖ น. เล็กน้อย เครื่องบินลง     และก่อน ๘ น. ผมก็ถึงบ้าน       

วิจารณ์ พานิช

๑๙ พ.ค. ๖๒