การเดินทางไปทำกระบวนการเพียงคนเดียวกับนักศึกษามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์เนื่องในโครงการ “บ่มเพาะผู้นำนักศึกษายุคใหม่” ที่มีคนเข้าร่วมราวๆ 100 คน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กระนั้นผมก็คิดว่า “เอาอยู่” หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “ทำให้เต็มที่”
ผมยึดมั่นในแนวทางของตนเองเหมือนเช่นทุกครั้ง การเป็นวิทยากร ไม่ใช่แค่ให้ความรู้ หรือสร้างกระบวนการสกัดความรู้ออกจากตัวของคนในเวทีเท่านั้น หากแต่หมายถึงการสอนให้คนในเวทีได้เรียนรู้ที่จะนำกระบวนการไปประยุกต์ใช้ด้วยตนเอง –
ปรับโต๊ะใหม่ : สะท้อนการออกแบบพื้นที่การเรียนรู้
ภายหลังพิธีเปิดเสร็จสิ้น ผมเปิดตัวด้วยเรื่องเล่าอันเป็นประวัติส่วนตัวของตนเองเพียงเล็กน้อย โดยโฟกัสไปเรื่องราวสมัยยังเป็นเด็กมัธยมต้นและมัธยมปลาย เพราะต้องการให้คนในเวทีรู้ว่าผมเป็น “คนของที่นี่”(คนกาฬสินธุ์) เผื่อจะทำให้นักศึกษาในเวทีผ่อนคลายว่ากำลังเรียนรู้กับ “คนบ้านเดียวกัน”
ผมขอให้นักศึกษาและเจ้าหน้าที่จัดโต๊ะนั่งกันใหม่ จากที่นั่งเหมือนในชั้นเรียนทั่วไปก็เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นแบบ “ตัวยู (U)” พร้อมๆ กับบอกตรงๆ ไปเลยว่า การจัดโต๊ะเก้าอี้คือส่วนหนึ่งของทักษะของผู้นำที่ว่าด้วย “การออกแบบการเรียนรู้”
BAR : ปักหมุดการเรียนรู้ของนักศึกษา
เวทีนี้ผมไม่ได้ทำกระบวนการ “รู้จักฉันรู้จักเธอ” แต่ปรับกระบวนการตรงดิ่งลงที่ “การประเมินความคาดหวัง” ในรูปของ “BAR” (Before action review)
ก่อนที่จะนำเข้ากระบวนการ ผมถามนักศึกษาก่อนว่ารู้จัก หรือคุ้นชินกับ BAR หรือไม่ มีทั้งที่ถามผ่านอักษรย่อและชื่อเต็ม – ซึ่งจากการประเมินผ่าน “หน้าตัก” ตรงนั้น ดูราวกับว่านักศึกษาจะไม่คุ้นชินนัก ผมจึงอธิบายความหมายและความสำคัญให้นักศึกษาได้รับรู้ พร้อมๆ กับตั้งคำถามว่า “คาดหวังอะไรจากการเข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้”
ผมบ่งชี้ชัดว่า “ให้เขียนจากความสัตย์จริงของแต่ละคน” อันประกอบด้วย “ความคาดหวังส่วนตัวล้วนๆ” ในแบบที่ไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับโครงการฯ และ “ความคาดหวังที่สัมพันธ์กับโครงการฯ” โดยทั้งนี้ผมให้นักศึกษาเขียนผ่าน “บัตรคำ” ที่ผมเตรียมไปเอง
การเขียนความคาดหวัง ผมเปิดเพลงคลอเบาๆ เสริมสร้างบรรยากาศ พร้อมๆ กับให้ทางเลือกในการสะท้อนความคาดหวังอย่างหลากรูปแบบ ทั้งเขียนเป็นวลี –วาทกรรม – ประโยค – สำนวน หรือกระทั่งการวาดภาพประกอบ หรือวาดภาพเฉยๆ โดยไม่มีข้อความปะปน
ใช่ครับ – ผมไม่อยากสร้างกติกาในการเรียนรู้มากนัก ผมอยากให้นักศึกษามีอิสระในการเลือกวิธีการต่างๆ ด้วยตนเอง ประหนึ่งกำลังบอกกับนักศึกษาว่าการเป็นผู้นำต้องเป็นนักออกแบบ กล้าคิดนอกกรอบ กล้าจินตนาการ ฯลฯ
และแน่นอนครับ-เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ผมก็เชื้อเชิญให้นักศึกษาบอกเล่าความคาดหวังของพวกเขาเอง เป็นการบอกเล่าตามความสมัครใจ และให้โอกาสคนที่บอกเล่าได้ “โยนไมค์” ไปยังเพื่อนคนอื่นๆ
เสียดายก็แต่ในหอประชุมนี้ ไม่สามารถนำบัตรคำไปปิดผนึกไว้ตามผนังหอประชุมได้ ผมจึงนำมาเก็บไว้และหาเวลา “ถอดความ” ด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว – ซึ่งก็ค้นพบประเด็นต่างๆ หลากหลาย ยกตัวอย่างที่ปรากฏพบมากที่สุดเรียงตามลำดับ เช่น
· ฯลฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่าที่พบถี่มากที่สุดคือเรื่อง “แรงบันดาลใจ” และรองลงมาคือ “อยากรับรู้เรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของวิทยากร” จนผมอดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักศึกษา หรือผู้นำเหล่านี้ทำไมปักหมุดไปที่ “แรงบันดาลใจ” พวกเขากำลังเผชิญอยู่กับอะไร ทำกิจกรรมแล้วไม่มีความสุข หรือกำลังกระหายและเต็มไปด้วยพลัง แต่ไม่รู้จะ “เดินต่อ” อย่างไร หรือเปล่า
และนอกจากนั้นก็มีจำนวนหนึ่งที่เขียนสะท้อนความคาดหวังในการเข้าร่วมกิจกรรมแบบซื่อใส น่ารักๆ เช่น
จากข้อมูลข้างต้น ในช่วงพักรับประทานอาหารว่าง ผมต้องปรับสไลด์จากชุดแรกเป็นชุดที่สองทันที นั่นคือยกสไลด์ว่าด้วยวิชาการออกไป แล้วใช้สไลด์แบบบันเทิงเริงปัญญาเข้าแทน พร้อมๆ กับการตัดสินใจปรับการบรรยายมาสู่การเรียนรู้ร่มกันผ่านวาทกรรมความคิด ผ่านคลิป ผ่านเวทีโสเหล่ ผ่านบัตรคำ ผ่านการโยนไลค์ ฯลฯ
ทั้งปวงก็ไม่มีอะไรมาก เพราะต้องการให้นักศึกษามีความสุขและตื่นตัวกับการเรียนรู้ให้มากที่สุด เพื่อก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ และ “เล้าโลม”ให้นักศึกษาได้แสดงแนวคิดแล้วค่อยหยิบจับสิ่งที่นักศึกษาสะท้อนออกมาแล้วขมวดความมาเป็น “วิชาการ” หรือ “ทฤษฎี” โดยย้ำว่า “นี่คือบริบท” หรือ “ลักษณะเฉพาะของที่นี่” หรือ “ลักษณะเฉพาะตนของผู้นำนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์”
ความกลัว : หลุมดำของการเรียนรู้
ถัดจากกระบวนการประเมินความคาดหวัง ผมนำเข้าสู่กระบวนการถัดว่า คือ “สำรวจความกลัวของผู้นำนักศึกษา” เป็นการสำรวจผ่านการชวนคิด ชวนคุย โยนไมค์บ้าง หรือไม่ก็กระตุ้นให้แต่ละคนพูดโดยสมัครใจ
กรณีคำถามในกระบวนการนี้ ผมเปิดกว้างทั้งที่เป็นความกลัวว่าด้วยการทำกิจกรรมนอกหลักสูตร และความกลัวทั่วไปที่อาจเป็นได้ทั้งการเรียน การใช้ชีวิต และอื่นๆ ซึ่งนักศึกษา/ผู้นำนักศึกษาได้สะท้อนออกมา ยกตัวอย่างเช่น
· ฯลฯ
ผมเจตนาถามถึงเรื่อง “ความกลัว” เพราะต้องการสำรวจปัญหาของการขับเคลื่อนกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือภาวะความเป็นผู้นำในแบบกรายๆ และถึงแม้จะไม่พบประเด็นเชิงลึก หรือความหลากหลายอะไรมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าคำถาม หรือคำตอบจะไร้ตัวตนในเวทีนี้
ถัดจากนั้น ผมก็ “ยิงคำถามใหม่” นั่นคือ “คุณมีวิธีจัดการกับความกลัวนั้นอย่างไร” ซึ่งเน้นให้แต่ละคนพูดด้วยความสมัครใจ ใครใคร่พูดก็พูด ใครใคร่ฟังเฉยๆ ก็ตามสบาย – ไม่ว่ากัน
ถัดจากนั้นจึงเปิดคลิปให้นักศึกษาได้ดูร่วมกัน ซึ่งเป็นคลิปเรื่องราวของ “อิกัวน่าหนีตาย" ฝ่าวงล้อมของงูพิษจำนวนมาก
พอคลิปจบลง ผมก็ชวนนักศึกษาเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ผ่านคำถามง่าย ๆ “ได้เรียนรู้อะไรจากคลิป” ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เห็นถึง “ความกลัวและการต่อสู้กับความกลัวเพื่อการอยู่รอด”
เช่นเดียวกับการชวนให้นักศึกษาได้คิดร่วมกันว่า การชนะซึ่งความกลัว หรือการเอาชนะซึ่งความตายที่ว่านั้นต้อง “ทำอย่างไร”
ใช่ครับ- “ทำอย่างไร” ผมผูกโยงประเด็นถึง “เครื่องมือในการเรียนรู้” ไปในตัวอย่างเสร็จสรรพ พร้อมๆ กับการ “ลากความ” เข้าสู่การเรียนรู้-ทักษะการเรียนรู้ของผู้นำนักศึกษาในศตวรรษที่ 21 ไปแบบไม่ให้ตั้งตัว เรียกได้ว่า “เอาบันเทิงนำความรู้” หรือที่ผมพุดเสมอว่า “บันเทิงเริงปัญญา”
ผมไม่รู้หรอกว่าคลิปสั้นๆ ที่ตัดตอนมานั้นมาจากเหตุการณ์ใด หรือภาพยนตร์เรื่องใด ถึงรู้ก็ไม่เฉลยให้นักศึกษาได้รับรู้ ผมอยากให้เขาไปเรียนรู้และสืบค้นด้วยตนเอง
เช่นเดียวกับการไม่ยอมเริ่มต้นกระบวนการด้วยการบรรยายว่าด้วย “การเรียนรู้-ทักษะการเรียนรู้-คุณลักษณะของผู้นำนักศึกษา” แต่เลือกที่จะเปิดเวทีทักถามถึงความกลัวและการแก้ปัญหาความกลัวของนักศึกษา ซึ่งเจตนาละลายพฤติกรรมไปพร้อมๆ กับการ “สำรวจต้นทุน” ของแต่ละคน โดยฝึกให้พวกเขากล้าที่จะแบ่งปันประสบการณ์ต่อคนรอบข้าง
ในทำนองเดียวกัน การเปิดคลิปให้นักศึกษาได้ดู – ผมเปิดให้ดูแบบไม่ได้บอกล่วงหน้าว่า “ตั้งใจดู ตั้งใจค้นหาว่าในคลิปมีอะไรที่เกี่ยวกับความกลัว หรือการใช้ชีวิตและการทำงาน” เพราะผมอยากสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักศึกษา และต้องการประเมินทักษะการดู การฟัง การจับประเด็น การวิเคราะห์ประเด็นแบบไร้โจทย์ตั้งแต่ต้น เรียกได้ว่า “เรียนรู้ตามสถานการณ์”ก็ไม่ผิด
รวมถึงการเชื่อมไปสู่ทักษะที่ว่าด้วย Soft skills
ผมไม่รู้หรอกว่า ผมออกแบบกระบวนการผิด หรือถูก
แต่ที่แน่ๆ ผมปรับกระบวนการเรียนรู้ตามความคาดหวังของผู้เรียน – เป็นการปรับกระบวนการตามบัตรคำ BAR นั่นแหละ การปรับกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้ จะว่ายึด “ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” ก็พอได้กระมัง
และที่แน่ๆ ผมสรุปความตอนท้ายว่า "การขจัดปัญหาความกลัวทั้งปวง ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน และยิ่งในวิถีกิจกรรม ยิ่งตอบโจทย์การขจัดความกลัวผ่านการลงมือทำ -เป็นการลงมือทำอย่างเป็นทีม เพราะกิจกรรมสอนให้ทำงานอย่างเป็นทีม"
หรือแม้แต่ "BAR คือเครื่องมือการเรียนรู้ เราอาจไม่จำเป็นต้องวัดจากทุกคนทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการ แต่อาจเน้นที่แกนนำหลักๆ ของเราก็ได้ เพราะกิจกรรมต้องสร้างผู้นำ มิใช่สร้างแต่ผู้ตามจนล้นองค์กร การขับเคลื่อนกิจกรรม อย่างน้อยแกนนำต้องรู้ว่าทำกิจกรรมแล้ว ได้เรียนรู้อะไร เปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรค์หรือไม่ ทำแล้วบรรลุวัตถุประสงค์แค่ไหน ทำแล้วจะเดินต่ออย่างไร"
จากบันทึก (ที่แล้ว)
เขียน : ศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2562
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา/มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์
อ่านแล้วคิดตาม วิทยากรเก่งมากค่ะ เรียนเสร็จรู้และเข้าใจตนเอง
สวัสดีครับพี่แก้ว,ที่จริงแล้วเนื้อความที่เขียนในบันทึกนี้ ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการหลัก เป็นเหมือนการ “นวด”หรือการ “นำเข้าสู่เนื้อหาหลึก”
และสรุปเครื่องมือการเรียนรู้ไปในตึวครับว่ามีอะไรบ้าง