เอเอฟเอสประเทศไทย ร่วมกับเอเอฟเอสประเทศญี่ปุ่นในนามรัฐบาลญี่ปุ่น ได้แสดงเจตนารมย์ในการให้การสนับสนุนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากประเทศต่างๆในเอเชีย ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ เยาวชนเอเอฟเอสเพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม นานาชาติ ระยะเวลา 7 เดือน ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับเงินสนับสนุนเต็มจำนวน ให้แก่นักเรียนไทย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ซึ่งโครงการฯนี้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี ( ปี 2018- 2022) และมีการมอบหมายให้เอเอฟเอสประเทศไทย 'เป็นผู้คัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ Semester High School Program in Japan (Full Scholarship) ASIA KAKEHASHI Project ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม ตามโครงการฯ
คณะเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเอเอฟเอส ประเทศไทย จำนวน 7 คน ออกเดินทางไปพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชา เมื่อเวลา 9:30 นาฬิกา โดยประมาณ ฯ นับว่าเป็นเรื่องปกติของการจราจรทางอากาศ ที่จะมีการล่าช้าไปบ้าง ถ้าไม่ดีเลย์นานถึง 1-2 ชั่วโมง ท้ายสุดก็สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้ตามกำหนดเวลาเดิม
พนมเปญในปี 2019 ดูคึกคัก คลาคล่ำไปด้วยยวดยานพาหนะ เรียงหน้ากระดานวิ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่งขันความเร็ว ที่แปลกดูเหมือนผู้ขับขี่ ทุกคนจะไม่ได้ Serious กับกฎจราจรแต่อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถสามล้อเครื่อง หรือรถมอเตอร์ไซด์ ต่างเฮโลแทรกทุกช่องทางของถนนเพื่อการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า โดยไม่มีการวาดเส้นแบ่งเลน แม้จะไปกระทบ- เฉี่ยวชนกันบ้าง ต่างก็ไม่แสดงอาการหัวร้อน ตรงกันข้ามกันอากาศที่ร้อนระอุ
ผู้เขียนค่อนข้างแปลกใจกับความสูงของรั้วที่แข็งแรงกั้นแบ่งอาณาบริเวณ ที่ดูจะสูงเกินความจำเป็น ทั้งๆที่เป็นโรงแรมที่พัก มีการทำประตูเข้า-ออก ช่องไม่ใหญ่นัก น่าจะขัดกับหลักฮวงจุ้ยในด้านการทำธุรกิจทีต้อนรับผู้มาเยือน แอบคิดใจใจว่า ….คล้ายสถานที่กักบริเวณเล็กๆ เลยทีเดียว แต่บรรยากาศภายในจัดแต่งดูสบายๆ ร่มรื่น และน่าพักผ่อน
คณะฯ รีบเช็คอิน และออกไปรับประทานอาหารกลางวันอย่างเร่งด่วน เพื่อจะไปพบกับเจ้าหน้าที่สถานทูตประเทศญี่ปุ่น ประจำประเทศกัมพูชา ในช่วงเวลา 14:00 น. ตามที่นัดหมาย คุณโมนิกา อาสาสมัครเอเอฟเอส เมืองพนมเปญ มาต้อนรับคณะและพากันไปสถานทูตญี่ปุ่นฯ ซึ่งอยู่ถัดไป 2 บล็อกถนน กว่าจะผ่านการตรวจสอบเข้าประตูไปด้านใน เหงื่อซึมกันเลย… เพราะมีชาวกัมพูชามายืนเข้าแถวเพื่อขอวีซ่าไปประเทศญี่ปุ่นอยู่กว่า 20 คน โชคดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นัดหมายเดินออกมารับคณะตรงจุดเอ็กซเรย์ อย่างมีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มกันพอควร ภาษาที่ใช้อยู่มี 2 ภาษาคือ ภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ มีการปรึกษาหารือเรื่องกระบวนการสัมภาษณ์ ในการคัดเลือกนักเรียนที่จะรับทุนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น ระยะเวลาประมาณ 7 เดือน รวมทั้งพูดคุยและวางแผนกำหนดขั้นตอนการคัดเลือกเยาวชนในรุ่นถัดไป พร้อมทั้งนัดหมายเวลาในการทำงานในวันรุ่งขึ้น
2 ชั่วโมงเต็มสำหรับภารกิจของวันแรก มาตรฐานเรื่องความปลอดภัยที่เข้มงวดของสถานทูตญี่ปุ่นฯ ค่อนข้างจะเข้มมาก แม้แต่จะยืนอยู่นอกรั้ว แล้วยกกล้องถ่ายภาพถนนหนทางด้านไกลออกไปก็ยังไม่อนุญาตให้ทำ (สงสัยกลัวจะใช้กล้องหน้า) แต่ด้านหน้าสถานทูตประเทศไทยฯ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ถ่ายภาพได้ มีความยืดหยุ่นสูงสมกับความเป็นไทยจริงๆ
คณะฯเดินฝ่าเปลวแดดที่มองเห็นฝุ่นกระจายตัวอยู่โดยรอบ ท่ามกลางจราจรที่คับคั่งกลับไปยังที่พักอย่างเหนื่อยล้า หลังจากพักผ่อนอยู่ 1 ชั่วโมง จึงเดินไปหาอาหารเย็นรับประทาน และกลับมานอนพักผ่อนกันอย่างสบายใจ
เริ่มปฏิบัติงานกันตั้งแต่เวลา 8:30 น. และเสร็จสิ้นภารกิจ เมื่อเวลา 12: 20 น.โดยประมาณ จากนั้นจึงไปรับประทานอาหารกลางวัน และทัศนศึกษาสถานที่สำคัญในเมืองพนมเปญ อยู่ 2-3 แห่ง ศิลปและสถาปัตยกรรมดูคล้ายคลึงกันมาก
มุมมองที่ได้จากนักเรียนชาวกัมพูชากับการพัฒนาตนเองฯ
หลังจากจบสิ้นกระบวนการคัดเลือก ซึ่งมีทั้งกิจกรรมกลุ่มฯ และการสัมภาษณ์ จึงได้เห็นความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง ของเยาวชนกัมพูชา ดังนี้
1. มีความพยายามและมีความมุ่งมั่นต่อการพัฒนาตนเองในระดับสูง
2. มีจุดมุ่งหมายและมีการวางแผนในชีวิตไว้อย่างรอบคอบ-มีขั้นตอน
3. มีความตระหนักและมีจิตสาธารณะที่ตั้งใจจะพัฒนาสังคมส่วนรวมอย่างน่าชื่นชม
หันกลับมามองนักเรียนไทยวัยเดียวกันบ้าง หากเปรียบเทียบความพร้อมฯ ที่รัฐบาลไทย สนับสนุนให้มีการพัฒนาเยาวชนฯ ในแถบประเทศของกลุ่มอาเซียน (ยกเว้นประเทศสิงคโปร์) ดูเหมือนเยาวชนไทยไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ที่รับและใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ากับการลงทุน ฯ
สนใจศึกษาระเบียบการสมัครรับทุนได้ที่นี่
*** การได้รับโอกาสไปร่วมงานกับเอเอฟเอสประเทศไทย ครั้งนี้ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ช่วยให้เกิดมุมมองและข้อคิดที่สามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้ต่อการทำงานและส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนไทยได้มากพอควร *** ขอขอบพระคุณผู้มีส่วนส่งเสริมและสนับสนุนการเปิดมุมมองใหม่ฯ และได้ทำประโยชน์่ต่อเยาวชนอาเซียน มา ณ โอกาสนี้นะคะ
*** ขอขอบคุณผู้เข้ามาเยี่ยมชมทุกท่านค่ะ ***
เด็กไทยที่ทำำด้ทุน ถ้าไม่มีข้อผ๔กมัดหรือให้ใช้ทุน มักจะสะบัดตูดหนีเกือบทั้งหมด น้อยมากที่จะทำงานตอบแทน แม้แต่ทำงานในประเทศที่ไม่เกี่ยวกับกับเจ้าของทุนก็ตาม ขนาดทุนรัฐบาลODOS ที่เลิกไปแล้ว คนเหล่านั้นบางส่วนยังคิดว่า คนหนีคุกคือผู้มีพระคุณ ทั้งที่ไม่ใข่เงินมันสักสลึง น่าเจ็บใจจริงเชียว
นับวันเด็กไทยจะขาดจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม อย่าว่าแต่จะคิดเรื่องตอบแทนบุญคุณใครเลยเลยเรื่องของตนเองบางครั้งก็ยัง จัดการไม่ได้เลยค่ะ
ชื่นชมคณะทำงานและยินดีกับนักเรียนที่ได้รับทุนนี้อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเปิดประสบการณ์และนำกลับมาต่อยอดในการพัฒนาตนเองและสังคมประเทศชาติต่อไปค่ะ
? ขอบคุณ ? คุณ Ning _ Neo007 มากนะคะ?