เก้าอี้สวดมนต์ Prayer


ผมเริ่มต้นฝึกกสิณแสงสว่างโดยการมองแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ด้วยความไร้เดียงสาของเด็กอายุ 4-5 ขวบ เพ่งแสงไฟเป็นเตโชกสิณโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวช่วง 7-8 ขวบ กลางคืนก็มักจะฝันว่าออกไปอยู่ในอวกาศ เว้งว้าง ไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่มี มีแต่ความรู้สึกรู้อยู่เฉยๆ บ่อยครั้งที่ฝันเห็นผีผู้ชายนอนเน่าอยู่ในโลง บางคืนผีตัวนี้ก็ลุกขึ้นมา บางคืนหนักไปกว่านั้นคือฝันว่าไปนอนทับร่างผีตนนี้อยู่ในโลง ประสาเด็กก็มีแต่ความกลัว ไม่ได้รู้เรื่องอสุภะแต่อย่างใด จนอายุ 10 ขวบหันมาเรียนคาถาอาคมกับลุงมหาฯเพื่อนแม่ ที่เคยเป็นหมอผีเก่า ก่อนจะสำนึกบาปไปบวชจนได้เปรียญ3ประโยค จึงสึกมาแต่งงานมีครอบครัว

การเข้าสู่วัยรุ่นผมอาจจะแตกต่างจากคนอื่น ตรงที่ผมเลือกที่จะเข้าวัด ปฏิบัติธรรม การเข้าวัดนี้ก็เพราะเห็นสิ่งชั่วในดวงใจอันรู้สึกว่าน่ารังเกียจ น่าสะอิดสะเอียนและมีอันตรายมาก เมื่อเห็นสุขว่าทุกข์ เห็นทุกข์ว่าเหมือนหอกดาบทิ่มแทง เห็นความไม่สุขไม่ทุกข์ว่าเปลี่ยนแปลง เมื่อนั้นจึงได้เข้าวัดแสวงหาหนทางดับไม่เหลือจนอายุ 19 ปีก็ได้ขอฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพ่อฤษี ที่ซอยสายลม จากนั้นก็เดินทางไปฝึกต่อที่วัดท่าซุง 5 ปีก่อนหลวงพ่อจะมรณะภาพ ระหว่างนั้นก็ไปขอเจริญสติกับพระธุดงค์ที่ท่านมาพักรักษาตัวที่วัดกระโจมทอง หลวงพ่อพิทักษ์ ปริสุทโธ ท่านสอนตามแนวหลวงพ่อเทียน วัดสนามใน และแนวทางของหลวงปู่มั่น ตลอดเวลาที่ฝึกอยู่นั้น ท่านเน้นให้ฝึกจงกรมมากกว่าการนั่ง ท่านบอกว่าสมาธิคุณฝึกมามากแล้ว ท่านจะสอนการเจริญสติ

การฝึกโดยมีครูบาอาจารย์คุมอยู่นั้น ค่อนข้างจะฝึกหนัก จนในที่สุดหัวเข่าที่เจ็บก็ปวดและแตกลั่นกลางทางเดินจงกรม เป็นเหตุให้ข้อเข่าเสื่อมตั้งแต่อายุได้ 21 ปี หลังจากนั้นก็เกิดอาการหมอนรองกระดูกที่เอวร้าว จนไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้ ต้องพักรักษาตัวอยู่เกือบเดือน ด้วยเพราะการฝืนทนความเจ็บปวด ให้ผ่านเวทนาทางกาย ซึ่งเป็นสิ่งผิด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสห้ามเอาไว้ ครูบาอาจารย์ท่านก็ห้ามเอาไว้ แต่ว่าผมไม่เชื่อเอง ผมคิดว่าแค่ความเจ็บปวดเท่านี้ยังทนไม่ได้ แล้วจะปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมได้ยังไง ธรรมะอยู่ฟากตาย เรื่องเจ็บปวดเท่านี้เล็กน้อย เราขอมอบกายถวายชีวิตในการปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงต้องแคร์เลย

จนเมื่อร่างกายย่อยยับ ระบบทางเดินอาหารก็พัง กินผิดเวลานิดเดียวจะปวดท้องไป3วัน3คืน กินยาอะไรทำอย่างไรก็ไม่หาย ถ่ายเป็นเลือดสดๆ เราก็ยังคงฝึกต่อไป เข่าเสื่อม หมอนรองกระดูกร้าว จนกลายเป็นคนพิการเพราะใช้งานร่างกายเกินขีดจำกัดของมัน จึงค่อยสำนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ท่านว่า ให้ฝึกที่จิต ไม่ใช่ให้ฝึกที่กาย ธรรมนี้เกิดแก่จิต บรรลุก็ที่จิต ไม่ใช่ที่กาย ดังนั้นเวทนาที่ท่านต้องการให้ผ่านให้ได้คือ ความรู้สึกยินดี ยินร้าย ไม่ใช่ความเจ็บปวดของร่างกาย ถึงเวลานี้ผมก็คุกเข่าสวดมนต์ไม่ไหวแล้วครับ

รอเวลาว่าจะมีใครคิดประดิษฐ์อุปกรณ์มาช่วยให้นั่งสวดมนต์แบบไม่ต้องเจ็บปวดทรมานทั้ง ขา เข่า และเอว ก็ไม่เห็นมีใครจะทำขึ้นมา หันไปทางไหนก็มีแต่คนบอกว่าให้นั่งแบบเดิมๆเจ็บปวดแค่นี้ก็ต้องทนไปให้ผ่านเวทนาให้ได้สิ ผมก็คร้านจะไปเถียงเสียแล้ว ผมก็เคยพูดประโยคพวกนี้มาก่อน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมโง่เอง พอมีเวลาจึงได้ออกแบบเก้าอี้สวดมนต์ ให้มีมุมก้ม2ระดับ เวลานั่งจะได้ไม่คะมำ แต่ปัญหาก็คือยังเจ็บเข่าอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่ง เอาเก้าอี้สวดมนต์มาวางบนที่นอนบางๆ แล้วคุกเข่าดู ผลคือไม่เจ็บเข่า จากนั้นจึงได้ทำเป็นเบาะรองเข่า ทำจากฟองน้ำอัด และหาระดับที่เหมาะกับสรีระของสตรี และ บุรุษ จนทำสำเร็จออกมาก็ได้แจกจ่ายไปในหมู่กัลยาณมิตร หลังจากนั้นก็ได้นำไปถวายตามวัดต่างๆ

เก้าอี้สวดมนต์ที่ออกแบบเอาไว้นี้ ตั้งใจทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา หลายคนบอกให้ไปจดลิขสิทธิ์ ผมเองไม่จดเพื่อให้ใครก็ตามที่อยากจะก็อปปี้ไปใช้ไม่ต้องมีความผิด ขอเพียงท่านที่จะก็อปปี้ไปนั้น กราบขออนุญาตจากสมเด็จองค์ปฐม เนื่องเพราะผมได้กราบถวายทุกอย่างต่อพระองค์ท่าน ถวายเป็นพุทธบูชา ทำขึ้นมาเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สวดมนต์ได้นานขึ้น ไม่ปวดขา ปวดเข่า ปวดเอว จิตก็จะเกิดสมาธิในการสวดมนต์มากยิ่งขึ้น

วันหนึ่งผมจะตายจากไปเป็นแน่แท้ แต่ ณ เวลานี้ที่ยังมีลมหายใจอยู่นั้น ผมจะใช้ความรู้ ความคิดสร้างสรรที่มี เพื่อพระพุทธศาสนา

หมายเลขบันทึก: 659633เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2019 14:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2019 14:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท