เหตุแห่งแรงบันดาลใจให้เขียนบันทึกนี้
หลายวันแล้วที่ผมแบ่งเวลามาศึกษาเพื่อหาทางวัดคุณธรรมจริยธรรม ... ยังไม่มีทีท่าว่าใจจะเข้าใจและยอมรับได้กับวิธีที่มีให้อ่านในงานการวัดเจตคติที่ทำกันอย่างกว้างขวาง ...ยากมาก
สิ่งที่ผมพบ (ขออภัยที่เป็นเชิงลบหน่อย ๆ)
- การวัดคุณธรรมจริยธรรมที่นักวิชาการไทยใช้ คือ วิธีที่ฝรั่งใช้ในการวัด "เจตคติ"
- การทบทวนวรรณกรรมต่าง ๆ ที่พบจากการสืบค้น นักวิชาการไทยเราเรียนรู้ เจตคติ จากคำว่า attitude
- วิธีการทวนวรรณกรรมทางการศึกษา ที่เริ่ม ด้วยการลิสท์ว่า ใครนิยามเจตคติอย่างไร ๆ และจบสุดท้าย ด้วยการสังเคราห์คิดของผู้เขียนหนังสือหรืองาน (ส่วนใหญ่เป็นผู้เขียนปริญญานิพนธ์) และการอ้างอิงด้วยการ "อ้างถึงใน...." ทำให้ยากจะสืบไปถึงต้นฉบับของการนิยามนั้น...
สิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่และทำให้มีแรงบันดาลใจจะเขียนบันทึกเก็บไว้ในวันนี้คือ ประเด็นเห็นต่างระหว่าง นักจิตวิทยา (Psychologist) กับ สังคมวิทยา (Sociologist) จากบทความนี้
ข้อถกเถียงระหว่างนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยา ว่าด้วย "เจตคติ"
- นักจิตวิทยา บอกว่า เจตคติ จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมา ถ้าต้องการจะเปลี่ยนพฤติกรรมของคน ต้องเปลี่ยนที่เจตคติ เช่น ถ้าต้องการเปลี่ยนความรู้สึกอิจฉาหรือแบ่งแยกกับใคร ต้องเปลี่ยนที่เจตคติต่อคนคนนั้น
- ส่วนนักสังคมวิทยา บอกว่า พฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นเกิดจากความตั้งใจหรือจงใจ แต่เจตคตินั้น เป็นสภาวะภายในใจที่เกิดขึ้นหรืออารมณ์เมือได้รับรู้ข้อเท็จจริงหรือรู้สึกต่อสิ่งหนึ่ง
- นักสังคมวิทยา มองว่า คนสามารถลดความอิจฉาและการต่อต้านจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง
- คำถามคือ
- เราจำเป็นต้องเปลี่ยนเจตคติ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่
- หรือเราสามารถเปลี่ยนพฤิกรรมได้เลย โดยไม่ต้องเปลี่ยนเจตคติ
- หรือจะต้องเปลี่ยนท้ังสองอย่างนี้พร้อม ๆ กัน
- มีผลงานทางวิชาการจากทั้งสองฝั่งกว่า ๑๕,๐๐๐ ผลงาน ตลอดระยะเวลา กว่า ๘๐ ปี แต่ผู้เขียนบทความทบวนวรรณกรรมนี้ บอกว่า พัฒนาไปได้น้อยมาก
ผลสรุปของการโต้เถียง
- ถึงขณะนี้ที่บทความนี้ตีพิมพ์ (1998) พบว่า
- ไม่มีความสัมพันธ์ที่แน่นอนระหว่าง พฤติกรรม กับ เจตคติ
- การรู้เจตคติ มีประโยชน์ต่อการทำนายพฤติกรรม เฉพาะในกรณีต่อสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลและเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ
- ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเจตคติเพื่อที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม
- ปัญหาสำคัญของการศึกษาเรื่องนี้คือ ทุก ๆ ครั้ง คือ พฤติกรรมของนักวิจัยหรือการวิจัยจะถูกแฝงไว้ด้วยเจตคติของนักวิจัยด้วยเสมอ
ข้อสังเกต (ผมตีความ)
- การศึกษาและการวัดเจตคติ เป็นการวัดจากการ"เร้า" แล้วดูผลตอบสนอง ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น คำถาม สถานการณ์ ฯลฯ หรือสังเกตจากพฤติกรรมที่แสดงออก ....นั่นคือ การสร้างสิ่งเร้าจากภายนอกไปวัดภายใน
- เป็นการวัดทางอ้อม ไม่ใช่วัดทางตรง ไม่ได้วัดด้วยประสบการณ์ตรง
- เข้าใจว่าการวัดสิ่งนามธรรมนี้มีข้อจำกัด....พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า
- สันทิฏิโก ... ผู้ปฏิบัติรู้เห็นเอง
- ปัจจัตตัง ... เห็นได้เฉพาะตน
ศึกษามาถึงตรงนี้ ผมตัดใจว่า จะวางเรื่องการศึกษาวิธีวัดแบบฝรั่งไว้ก่อน ก้าวไปนำเอาแนวคิดที่เสนอไว้เรื่อง "เจตสิก" มาพัฒนาเป็นเครื่องมือวัดของเราเองไปเลย