วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ผมไปร่วมประชุม โครงการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยรุ่นใหม่ผ่าน Multi Mentoring System กลุ่ม MMS 8 – สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปกรรม ดำเนินการโดยเมธีวิจัยอาวุโส ดร. วันัย พงศ์ศรีเพียร
เป็นโอกาสเปิดหูเปิดตาคนแก่ ให้เข้าใจสภาพของวงการวิจัยในปัจจุบัน โปรดสังเกตว่า กลุ่ม MMS 1 – 7 เป็นสาขาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ผมไม่เคยได้รับเชิญเข้าร่วม กลับได้รับเชิญเข้าร่วมในสาขาที่ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง
การประชุมวันนี้ เป็นการนำเสนอความก้าวหน้าของโครงการวิจัยประเภทนักวิจัยรุ่นใหม่ ทำวิจัยคนเดียว โดยมี mentor ประจำโครงการอยู่แล้ว และไม่ได้มาร่วมประชุมครั้งนี้ ที่ทำงานวิจัยมาแล้วเกือบ ๑ - ๒ ปี จำนวน ๑๖ โครงการ แต่ผมอยู่ร่วมถึง ๑๔.๓๐ น. ได้ฟังและให้ความเห็นเพียง ๙ โครงการเท่านั้น
ประเด็นที่ต้องปรับปรุงที่พบบ่อยมากคือชื่อเรื่องไม่ตรงกับประเด็นที่ต้องการวิจัย ซึ่งหมายความว่า ประเด็นนี้หลุดการพิจารณาของทั้งกลไกของ สกว. และของ mentor ประจำโครงการ
ประเด็นที่ สกว. น่าจับทำมากคือ บางโครงการจับโจทย์ที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากต่อการพัฒนาประเทศ สู่ประเทศไทย ๔.๐ แต่นักวิจัยใหม่จับมาทำวิจัยเพียงประเด็นย่อย เช่นเรื่อง “การวิเคราะห์ศักยภาพการเชื่อมต่อเชิงพื้นที่ของเมืองประวัติศาสตร์พิมาย เพื่อการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในแหล่งมรดกวัฒนธรรม” ที่เป็นการวิจัยเชิงการจัดการพื้นที่ภาพใหญ่ และการจัดการการคมนาคมเพื่อความสะดวกของนักท่องเที่ยว ผมมองว่าเมืองเก่าพิมายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ รวมทั้งเรากำลังเสนอให้เป็นมรดกโลก UNESCO จึงควรมีชุดวิจัยหลากหลายด้านเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวนี้ และพัฒนาให้ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกให้ได้ โดยน่าจะหาทางร่วมมือกับกัมพูชา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมกับนครวัด โดยที่พิมายเก่ากว่านครวัด การวิจัยบอกความเชื่อมโยงกันทางโบราณคดี นอกจากมีคุณค่าทางวิชาการ ยังมีคุณค่าทางการท่องเที่ยวด้วย
นักวิจัยคือ ดร. จาตุรงค์ โพคะรัตน์ศิริ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ศึกษาหาข้อมูลหรือประมวลความรู้มาอย่างดี และได้ข้อมูลว่า ทางจังหวัดและกรมศิลปากรได้พยายามพัฒนาบริเวณเมืองเก่าพิมาย แต่เกิดความขัดแย้งเรื้อรังกับคนในชุมชน ทำให้ผมเสนอว่า สกว. ควรพัฒนาโจทย์วิจัยแบบครบด้าน ในการพัฒนาเมืองเก่าพิมายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นมรดกโลก ทำเป็นชุดโครงการวิจัย มีการจัดการให้โครงการย่อยเชื่อมโยงกัน โดยในโครงการวิจัยย่อย ต้องมีการทำวิจัยชุมชนโดยรอบด้วย ใช้หลักการของการวิจัยท้องถิ่นของ สกว. เองเข้ามาประสาน และมีคณะกรรมการกำกับเทศของชุดโครงการ และน่าจะทำวิจัยข้ามประเทศ เพื่อหาโอกาสร่วมมือกับกัมพูชา สร้างเส้นทางท่องเที่ยวเมืองโบราณร่อมกัน โดยที่จุดดึงดูดคือนครวัดกับพิมาย
โครงการ “การบริหารค่าตอบแทนจูงใจเพื่อผลการปฏิบัติงานของอาจารย์ต่างช่วงอายุในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในประเทศไทย” โดย ดร. วรรณวิชนี ถนอมชาติ คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา ก็น่าสนใจ แต่ชื่อโครงการไม่ตรงกับเป้าหมายของงานวิจัย เพราะจริงๆ แล้ว นักวิจัยต้องการศึกษาแรงจูงใจทุกประเภท ไม่ใช่เพียงเรื่องค่าตอบแทน เรื่องชื่อไม่ตรงนี้ปรากฏขึ้นเมื่อผมบอกว่า เมื่อห้าสิบปีมาแล้ว ตอนที่ผมเริ่มเป็นอาจารย์ แรงจูงใจในการเป็นอาจารย์ของผม ปัจจัยใหญ่ที่สุดไม่ใช่เงิน แต่เป็นโอกาสในการสร้างตัวสร้างผลงานทางวิชาการ
ผู้วิจัยแบ่งช่วงอายุของอาจารย์ที่ศึกษาออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ Gen Y, Gen X, และกลุ่ม Baby Boomer ดร. วิชนีบอกว่า คำพูดของผมนั่นแหละที่เป็นแรงจูงใจที่ชัดเจนของ เบบี้บูมเมอร์ ตามข้อค้นพบในงานวิจัยของเธอ แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยในกลุ่ม Gen Y และ Gen X ไม่คิดเช่นนั้น
ผมจะไม่เล่าลงรายละเอียดชื่อโครงการวิจัยต่อ แต่จะขอสรุปว่า จุดอ่อนที่พบบ่อยที่สุดมี ๓ ประเด็น คือ (๑) ชื่อเรื่องไม่ตรง (๒) โจทย์วิจัยไม่ชัด และ (๓) วิธีวิทยาการวิจัยไม่รัดกุม ซึ่งที่จริงก็เป็นประเด็นปัจจัยคุณภาพของการวิจัยที่พบตามปกติ
ทำให้ผมคิดว่า กิจกรรม MMS ควรเริ่มเมื่อไร ก่อนได้รับทุน หรือหลังได้รับทุนวิจัย
วิจารณ์ พานิช
๒๘ ต.ค. ๖๑
This “…จุดอ่อนที่พบบ่อยที่สุดมี ๓ ประเด็น คือ (๑) ชื่อเรื่องไม่ตรง (๒) โจทย์วิจัยไม่ชัด และ (๓) วิธีวิทยาการวิจัยไม่รัดกุม …” reminds me of Buddhist “ariya sacca’ (the 4 Noble Truth – should really be understood as the principle for problem solving). When one is not clear on ‘problem identification; one would not properly establish ‘cause’ (factors) and ‘effect’ (impacts); one would fail in finding a solution (out of several options); and one would unlikely use ‘correct ways’ to solve any problem.
Perhaps, we should look into our cultural learning and use that to go forth.