วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ผมถูกหนีบไปเรียนรู้เรื่องเกษตรยั่งยืน ในการประชุมภาคประชาสังคมที่จัดโดยเครือข่าย "ฮักแพง เมิ่งแงง คนมหาสารคาม" (เรียกสั้น ๆ ว่า สภาฮักแพง) ต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ธวัช ชินราศรี มากๆ ครับ ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตรยั่งยืน ได้รู้จัก "ฅนเกษตรยั้งยืน" ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคามมากกว่าอ่านหนังสือหลายเล่ม... ผมจับประเด็นสำคัญ ๆ เพื่อทำให้ตนเองเข้าใจลึกมากขึ้น และฝากไว้ให้ผู้สนใจและเครือข่ายเรื่องนี้ในพื้นที่ต่อไป
วิทยากรสำคัญที่มาวันนี้คือ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ อ.ธีระ วงษ์เจริญ
ท่านบรรยายโดยการเล่าเรื่องสลับตัวอย่าง จึงฟังไม่เบื่อ ใช้สไลด์เพียง ๒ อัน และความจดจำอันดีเยี่ยมจนได้รับคำชมจากพี่น้องที่เข้าร่วมหลายคน
เริ่มด้วยความร่วมมือ
ท่านเริ่มด้วย การเชื่อมโยงการเกษตรยั่งยืนกับเป้าหมายของการพัฒนาโลก คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs: Sustainable Development Goals) เป้าหมายที่ ๒ คือการลดความอดอยากและสร้างความมั่นคงทางอาหาร (ท่านใดยังไม่รู้อ่านได้ที่นี่ ครับ) (ในช่วงปี ๒๕๕๙-๒๕๗๒) ซึ่งวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๘ นายกรัฐมนตรีของไทยได้ไปลงนามความาร่วมมือกับนานาชาติแล้ว
ในครั้งนั้น สมเด็จพระเทพฯ ได้ส่งการปาฐกถาพิเศษส่งไปร่วมการประชุม ทรงบอกว่า เราต้องหยุดความหิวโหย ... นี่คือที่มาสำคัญประการหนึ่ง
การขับเคลื่อนของรัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้ครับ
ได้สร้างข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกับหน่วยงานต่อไปนี้ทั้งหมด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ .. ผู้รับผิดชอบโดยตรง ผู้ขับเคลื่อน
กระทรวงมหาดไทย ... ผู้ว่าราชการจังหวัดเอาด้วย
กระทรวงสาธารณสุข ... โรงพยาบาลจะรับผักปลอดสารพิษไปใช้ทำอาหาร
กระทรวงทรัยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ... ถ้าจะทำในพื้นที่ ๆ ไม่มีโฉนด มีปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ หากจะทำต้องใช้ได้ความร่วมมือจากกระทรวงทรัพย์ฯ ใช้มาตรา ๑๙ ของอุทยานแห่งชาติ คือใช้ในลักษณะของการทำวิจัยร่วมกัน
กระทรวงพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม ... ภาคประชาสังคม พัฒนาชุมชน และวัฒนธรรม ภูมิปัญญา
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ... (จำไม่ได้ว่าเกี่ยวอย่างไร)
กระทรวงศึกษาธิการ ... ทุกโรงเรียนต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก จนถึงระดับมหาวิทยาลัย อย่างจริงจัง
โดยลงนามความร่วมมือ ๔ ภาค ๑๓ กลุ่มจังหวัด รวมแล้ว ๕๖ จังหวัด และ ๒๘ จังหวัดนำร่อง ระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงมหาดไทย ... จากนั้นกระทรวงต่าง ๆ ก็เริ่มเข้ามาทำ MOU ร่วมด้วย
จังหวัดพัทลุง ประกาศว่าจะทำเกษตรอินทรีย์ ๑,๓๐๐,๐๐๐ ไร่ ภายในปี ๒๕๖๔
จังหวัดสกลนคร ประกาศ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ไร่ เน้นเรื่องข้าว ภายในปี ๒๕๖๔
ฯลฯ
เกษตรกรรมยั่งยืนมีทั้งหมด ๖ รูปแบบ ได้แก่
เกษตรอินทรีย์ ๕๖ จังหวัด
เกษตรกรรมยั่งยืน ๒๘ จังหวัด
วนเกษตร
เกษตรผสมผสาน
เกษตรทฤษฎีใหม่
เกษตรอินทรีย์แบบอื่นๆ เช่น พุทธเกษตร ฯลฯ
พบว่า ดอยอินทรีย์ ที่เชียงราย มีพุทธเกษตรถึง ๘ พันกว่าไร่
เหตุที่ต้องทำ MOU คือ ต้องการให้สามารถทำงานข้ามกระทรวง สามารถสั่งงานข้ามกระทรวงโดยใช้มาตรา ๔๐ ได้เลย
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งเป้าว่า จะสร้างการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือนววิถี ให้ได้ ๓ เท่า
กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ต่อไปจะรับเฉพาะอาหารอินทรีย์เท่านั้น ไม่เอา GAP (มาตรฐานอาหารไม่ใช้ยาฆ่าแมลงแต่ยังใช้สารเคมี)
กลไกในการขับเคลื่อน
กลไกของการขับเคลื่อนเรียกง่าย ๆ ว่า กลไก ๓ ๕ ๗ ได้แก่
๓ กลไกระดับนโยบาย ได้แก่
ระดับชาติ คือกำหนดเป็นนโยบาย การขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นร่มใหญ่
ระดับจังหวัด คือ แปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ
ระดับพื้นที่ ต้องกำหนดเป้าหมายความสำเร็จที่ชัดเจน
๕ กลไกการขับเคลื่อน ได้แก่
ประสานงาน
แผนบูรณาการและยุทธศาสตร์
การจัดการความรู้
ติดตาม เยี่ยมเยือน ให้กำลังใจ
สื่อสารทางสังคมสู่สาธารณะ
๗ กลไก ภาคส่วนที่มาทำงานร่วมกัน โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง
ภาครัฐ (หน่วยงานภายใต้การ MOU)
ภาควิชาการ ได้แก่ มหาวิทยาลัย ต้องหันมาสร้างงานวิจัยเพื่อชุมชนและสังคม (ไม่ใช่วิจัยขึ้นหิ้ง)
ภาคประชาชน/ภาคีเครือข่ายเกษตรอินทรีย์
ภาคเอกชน/สนับสนุนด้วยใจเป็นธรรม เช่น CSR บริษัทประชารัฐ ฯลฯ
ท่านบอกว่า กำลังจะไปคุยกับโรงงานน้ำตาลที่ยโสธร จะเจรจาให้มาทำอ้อยอินทรีย์
ภาคประชาสังคม/มูลนิธิ/สมาคม
ภาคการศึกษา/ศาสนา/ความเชื่อ
ภาคสื่อสารมวลชนสู่สาธารณะ
วิธีการขับเคลื่อน
เริ่มจากการกำหนดพื้นที่เป้าหมาย ใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง เล็ก ๆ แคบ ๆ ชัด ๆ (Area Approach) หน่วยงานทุกหน่วยงานมุ่งไปที่พื้นที่เดียวกัน เช่น
ปีนี้อาจจะกำหนดไปที่ อ.บรบือ มีงบขุดบ่อสัก ๒๕๐ บ่อ ...แบบนี้จะเห็นเป็นรูปธรรมืทันที ปีนี้ที่นี้ ปีหน้าก็ไปที่อำเภออื่น เป็นต้น
ต่อไปคือ สร้างความเข้าใจให้คน พัฒนาคน เปลี่ยนวิธีคิดของคน โดย
หน่วยงานของรัฐต้องมาคุยกันเสียก่อนว่า จะทำอย่างไร จะเริ่มอย่างไร เห็นตรงกันชัด แล้วค่อยเริ่ม
ค้นหาต้นแบบ (Best Practice) เอาต้นแบบที่มีเข้ามาเป็นตัวอย่าง แล้วอบรมคนที่จะเข้าร่วม ที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติอบรมโดยใช้เวลา ๔ วัน ๓ คืน เพื่อเปลี่ยนวิธีคิด
ต้องมีต้นแบบของความสำเร็จ ถ้าไม่มีต้นแบบความสำเร็จเขาไม่เชื่อ
เอากลุ่มเป้าหมายแรกที่เป็นคนที่หัวไวใจสู้ก่อน (ต้องไม่เอาที่สมัครใจแต่ไม่เอาจริง) ต้นแบบของความสำเร็จจะมาจากคนที่หัวไวใจสู้
สร้างกระบวนการรับรอง ที่จันทบุรีที่ท่านใช้คือระบบ PGS Organic (Participatory Garantee System) คือ "ชุมชนรับรองโดยชุมชน" โดยคนที่จะเป็นกรรมการตรวจสอบได้จะต้องมีประสบการณ์ทำเกษตรอินทรีย์ยอย่างน้อย ๕ ปี
เริ่มผลิตเพื่อกินใช้ในครัวเรือนก่อนจะขยายผลผลิตตามทฤษฎีบันได ๙ ขั้น (อ่านที่นี่ )
สร้างตลาดสีเขียวขึ้นรองรอง (Gree Market) จะเริ่มจากหน่วยงานของรัฐก่อน ได้แก่ โรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม มหาวิทยลัย
สร้างเครื่อข่ายกับส่วนต่างๆ ทั้งด้านวัฒนธรรม ชุมชน สังคม ทุน ฯลฯ
เป้าหมายของการขับเคลื่อนภายในปี ๒๕๖๔
กำหนดเป้าหมาย ๕,๐๐๐,๐๐๐ ไร่
ขณะนี้ มีเกษตรอินทรีย์แล้ว ๓,๓๐๐,๐๐๐ ล้านไร่ และร่วมส่วนอื่นๆ แล้ว คร่าว ๆ น่าจะมีแผนในการขับเคลื่อนแล้วกว่า ๗ ล้านไร่
มหาสารคามมีพื้นที่ทั้งหมด ๒,๐๐๐,๐๐๐ ล้านไร่ ตั้งป้าหมายไว้ที่ ๒๕,๐๐๐ ไร่
ความรู้รอบตัว
จีนประกาศแล้วว่า ปี 2020 อาหารในจีนจะเป็นอาหารสะอาด ปลอดภัย ลำใยอบกัมมะถันที่เราทำ นำเข้าจีนไม่ได้แล้ว
รัฐกำลังแย่แล้ว อีก ๕ ปี ตังค์จะมาจ่ายเงินเดือนก็ลำบากแล้ว
หยุดการขอ หรือรอการช่วยเหลือ ให้พึ่งตนเอง ให้ลงมือทำด้วยตนเอง
สมาชิกภาคประชาสังคมเครือข่ายสภา "ฮักแพง เมิ่งแงง คนมหาสารคาม"
ผมขอบันทึกไว้เป็นข้อมูลสำหรับการขับเคลื่อนต่อไป แบบที่ท่านจะไม่สะดวกนักในการอ่าน และไม่ได้ขออนุญาตเป็นรายบุคคลในการเผยแพร่ด้วย (ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เครือข่างผู้จัดงาน) การจัดเก็บตรงนี้มีข้อดีคือแม้ผ่านไปหลายปี ผมจะสืบค้นข้อมูลนี้กลับมาได้ง่ายมาก เพื่อประโยชน์ในการทำงานขับเคลื่อนต่อไปครับ
สรุป (สั้นที่สุด)
ที่ปรึกษา รมช.เกษตรฯ อ.ธีระ วงษ์เจริญ มาบอกชัดเจนว่า
ระดับรัฐเขากำหนดนโยบายอย่างไร
ระดับจังหวัด ผู้ว่ากับคนระดับกระทรวงและหน่วยงานเป็นคนกำหนด และมีตัวอย่างชัดแล้ว ท่านเสนอแนวปฏิบัติชัดมากๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร
ระดับพื้นที่ หากศึกษาแนวทางของสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง (ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ) จะเข้าใจทันทีเช่นกันว่า ท่านแนะนำอย่างไร