การจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมสำหรับเด็กออทิสติก
การเรียนร่วมสำหรับเด็กออทิสติก หมายถึง การจัดการศึกษาให้แก่เด็กออทิสติก ซึ่งเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ได้เรียนร่วมกับเด็กปกติโดยคำนึงถึงความสามารถของแต่ละบุคคล เพื่อส่งเสริมให้เด็กกลุ่มนี้มีโอกาสเรียนรู้ร่วมกันและดำรงชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข โดยยึดหลักที่ว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีความเป็นอยู่ที่ต้องเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันและต้องการการเพื่อน ในวัยเด็กจะต้องการเพื่อนเล่น เพื่อนเรียน เพื่อนร่วมกิจกรรม เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะต้องการเพื่อนคู่คิด เพื่อนร่วมงาน มนุษย์มีพื้นฐานความสามารถแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันอยู่ตลอดเวลา เด็กออทิสติกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แต่ความสามารถอาจด้อยกว่าคนปกติเด็กออทิสติกจึงควรได้รับความเห็นใจ ความเข้าใจ ความช่วยเหลือและโอกาสในสังคมให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้เช่นคนปกติ ดังนั้น การเตรียมเด็กออทิสติกให้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่เยาว์วัยจะช่วยให้เขามีเพื่อนที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปรับตัวเข้าหากัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข การจัดการเรียนร่วมจะมีส่วนช่วยพัฒนาเด็กออทิสติก ให้เห็นแบบอย่างที่ดีของปกติ
เด็กออทิสติกจึงควรได้รับความเห็นใจ ความเข้าใจ ความช่วยเหลือและโอกาสในสังคมให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้เช่นคนปกติ ดังนั้น การเตรียมเด็กออทิสติกให้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่เยาว์วัยจะช่วยให้เขามีเพื่อนที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปรับตัวเข้าหากัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข การจัดการเรียนร่วมจะมีส่วนช่วยพัฒนาเด็กออทิสติก ให้เห็นแบบอย่างที่ดีของปกติ จะช่วยให้สามารถพัฒนาได้เร็วขึ้นกว่าการอยู่เฉพาะกับเด็กออทิสติกด้วยกัน
ประโยชน์การจัดการเรียนร่วม
1. เด็กออทิสติกมีโอกาสได้เรียนเหมือนเด็กปกติทั่วไป
2. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ที่ไม่ต้องส่งไปอยู่โรงเรียนสำหรับเด็กพิการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนประจำ
3. เด็กออทิสติกมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัว โดยไม่รู้สึกแบ่งแยกว่าเป็น“เด็กพิการ”
4. เด็กออทิสติกมีโอกาสได้เรียนรู้และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้เร็วกว่าต้องไปอยู่โรงเรียนเด็กพิการ เป็นประสบการณ์ตรงที่จะเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
5. รัฐบาลใช้งบประมาณน้อยกว่าการจัดโรงเรียนพิเศษเฉพาะเด็กพิการ
6. สังคมจะเข้าใจและยอมรับเด็กออทิสติกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ช่วยให้เด็กออทิสติกใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข และทำประโยชน์ให้สังคมได้
การจัดการเรียนร่วมที่จะให้ผลดีนั้น ควรดำเนินการดังนี้1. ควรเรียนร่วมเมื่ออายุยังน้อย คือตั้งแต่ระดับอนุบาล
2. ให้โอกาสครูที่สอนชั้นปกติตัดสินใจว่าจะรับเด็กออทิสติกเข้าไว้ในชั้นของตนหรือไม่ และให้มีความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
3. สถานศึกษา โรงพยาบาลที่จะเปิดโครงการเรียนร่วมต้องมีบุคลากรพร้อม
4. สถานศึกษาต้องทำความเข้าใจ ชี้แจง บทบาท ความรับผิดชอบให้บุคลากรทุกฝ่ายทราบ
5. สถานศึกษาต้องจัดให้มีเครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์ที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
6. ไม่ควรแยกเด็กออทิสติก ออกจากเด็กปกติ ในเรื่องของการให้บริการ การเรียนการสอน เพื่อให้เด็กปกติเข้าใจได้ถึงความสามารถของเด็กออทิสติก
7. ควรใช้วิธีสอนแบบแผนการศึกษารายบุคคล (Individual Implement Plan : IIP)
8. ต้องประเมินพัฒนาการ และผลการเรียนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยวิธีการประเมินที่เชื่อถือได้
9. ศึกษาข้อบกพร่องของการจัดการเรียนร่วม และปรับปรุงพัฒนาให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
การเตรียมการจัดการเรียนร่วมการเตรียมการจัดการเรียนร่วมควรเตรียมการดังนี้
1. เตรียมความพร้อมของโรงเรียน ต้องเตรียมความพร้อมในด้านเจตคติของบุคลากรในโรงเรียน ความพร้อมด้านกายภาพ จำนวนบุคลากร ความรู้ ความเข้าใจ หลักการและวิธีการเรียนร่วม แนวปฏิบัติต่างๆ ถ้าผู้บริหารมีความพร้อมทางด้านเจตคติจะเป็นส่วนสำคัญที่สามารถจัดการให้เกิดความพร้อมในเรื่องอื่นๆ ต่อไป
2. ประชุมครู และบุคลากรของโรงเรียนให้มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนร่วม เพื่อบุคลากรในโรงเรียนจะต้องรู้ว่าโรงเรียนจะต้องทำอะไร ด้วยเหตุผลอะไร ทำกับใคร และคนที่จะทำคือใคร มีหน้าที่อะไรบ้าง
3. จัดหาบุคลากรรับผิดชอบงาน โดยการสรรหาบุคลากรในโรงเรียนที่มีวุฒิด้านการศึกษาพิเศษโดยตรง หรือผู้ที่สมัครใจส่งเข้าอบรมหลักสูตรวิชาการศึกษาพิเศษเพื่อทำหน้าที่สอนประจำชั้นเด็กออทิสติก หรือเป็นครูเสริมวิชาการ ครูเดินสอน ครูประจำชั้นเรียนร่วม ครูประจำวิชา
4. จัดหาห้องเรียน ห้องเสริมวิชาการ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เหมาะสมกับเด็กออทิสติก
5. ทำความเข้าใจ ให้ความรู้และเจตคติที่ดีเกี่ยวกับการเรียนร่วมของเด็กออทิสติกกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครองของเด็กปกติ เด็กปกติในโรงเรียน นักการภารโรง ตลอดจนชุมชน เพื่อให้บุคคลกลุ่มนี้เข้าใจถึงความจำเป็น ให้ความเห็นใจ ช่วยเหลือเกื้อกลูเด็กออทิสติก โดยไม่คิดว่าเด็กพิการเป็นภาระและถ่วงความก้าวหน้าบุตรหลานของตนเอง ส่วนนักเรียนต้องเตรียมใจรับและเรียนร่วมกับเพื่อนพิการ ไม่ล้อเลียนความพิการ แต่ควรจะให้ความช่วยเหลือ ในสิ่งที่เพื่อนที่เป็นออทิสติกทำไม่ได้
ไม่มีความเห็น