บันทึกชุด วิจัยชั้นเรียนเปลี่ยนครู นี้ ตีความจากหนังสือ Enhancing Practice through Classroom Research : A teacher’s guide to professional development (2012) เป็นหนังสือที่เขียนด้วยครูในประเทศไอร์แลนด์ ๔ คน หนังสือนี้ไม่มีดาวใน Amazon Book แต่เมื่อผมอ่านแล้ววางไม่ลง เพราะเป็นหนังสือที่ให้มุมมองใหม่ต่อการวิจัยชั้นเรียน และให้มุมมองใหม่ต่อชีวิตความเป็นครู
ตอนที่ ๘ เสนอหลักฐานแสดงผลการสอนที่ดีกว่า นี้ ตีความจากบทที่ 7 Providing evidence of improved practice ซึ่งเป็นบทแรกของตอนที่สี่ Generating evidence from data : Making meaning เขียนโดย Bernie Sullivan, Principal of St Brigid’s Girls’ Senior School, Dublin, Ireland
สาระของบทนี้คือ
บทนำ
ในวงจรการปฏิบัติ ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิดของครู น่าจะได้มีการบันทึกเรื่องราวต่อไปนี้
ทั้งหมดนั้น รวมกันเป็นคลังข้อมูล
จากคลังข้อมูลสามารถนำมาวิเคราะห์หาความหมายได้หลายวิธี วิธีหนึ่งคือ ตั้งคำถามหลายๆ คำถามเพื่อนำไปสู่การใคร่ครวญสะท้อนคิดอย่างจริงจัง ตัวอย่างคำถามได้แก่
สิ่งที่นักวิจัยจะต้องเตรียมรับมือคือ ผลการวิจัยอาจไม่ออกมาตามที่คาดหวัง หรือระหว่างวิเคราะห์ข้อมูลอย่างจริงจังด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิดตรวจสอบตนเอง พบจุดอ่อนในวิธีปฏิบัติของตนเอง ก่อความรู้สึกท้อถอยหรือไม่สบายใจ หรือสับสน แทนที่จะรู้สึกลิงโลกใจที่ได้ค้นพบข้อเรียนรู้ใหม่ และพบว่าตนเองพัฒนาขึ้น และการสอนของตนเองก็พัฒนาขึ้น กลับรู้สึกหดหู่ท้อถอย ซึ่งผมคิดตรงกันข้ามกับที่ระบุในหนังสือว่า สถานการณ์วิกฤติทางใจ หรือทางอารมณ์ เช่นนี้เป็นข้อเรียนรู้ที่ประเสริฐยิ่งสำหรับครู ในการฝึกประสบการณ์ตรงในการทำความเข้าใจสถานการณ์เชิงลบ ในการตั้งจิตมั่นอยู่กับศรัทธา และฉันทะของตนในเรื่องการพัฒนานักเรียนของตน และมุมานะฟันฝ่าอุปสรรคไปให้จงได้ โดยต้องรู้จักหา “ตัวช่วย” หรือกัลยาณมิตรช่วยเป็นกำลังใจและให้คำแนะนำ
ผมมีความเห็นว่า ประสบการณ์เผชิญสถานการณ์ท้าทายที่ครูท้อแต่ไม่ถอยนี้ ควรนำมาใช้ประโยชน์ ๒ ประการ คือ (๑) ใช้เก็บเป็นข้อมูล และการใคร่ครวญสะท้อนคิดเป็นข้อเรียนรู้ของตัวครูเอง ว่าเมื่อครูฟื้นจากสถานการณ์ที่ก่อความท้อถอยเช่นนี้แล้ว ครูแกร่งขึ้นอย่างไร เป็นการ “พลิกลบเป็นบวก” เรียนรู้จากความล้มเหลว ซึ่งวงการศึกษาทำกันน้อยมาก ต่างจากวงการธุรกิจ ข้อเรียนรู้นี้ รวมเป็นส่วนหนึ่งของรายงานวิจัยด้วย (๒) ใช้ความรู้จากประสบการณ์นี้ในการออกแบบกิจกรรมที่มีความยากสำหรับนักเรียน เพื่อให้ทีมนักเรียนได้ฝึกเผชิญสิ่งยาก และเมื่อนักเรียนรู้สึกท้อ ครูจะได้ใช้ความรู้ที่ตนได้จากประสบการณ์ตรงของตน ในการทำหน้าที่โค้ช ปลุกใจนักเรียนให้สู้ ไม่ถอย การฝึกคุณลักษณะการเป็นคน “สู้สิ่งยาก” เป็นเป้าหมายของการเรียนรู้ระดับสูง
ครูนักวิจัยยิ่งจะต้องควบคุมอารมณ์ตนเอง ตั้งหลักจิตใจให้มั่นคง หากในการใคร่ครวญสะท้อนคิดตรวจสอบตนเองอย่างจริงจัง พบว่า “ตัวตน” ของตนที่ค้นพบ ไม่ตรงกับ “ตัวตน” ที่ตั้งความหวังไว้ ก็จะเป็นข้อเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้นไปอีก และควรนำประสบการณ์นี้ไปใช้ประโยชน์สองข้อตามย่อหน้าบน
“คำปลอบโยน” หรือให้กำลังใจ ในสถานการณ์ท้อถอย คือ ความยึดมั่นใน “คุณค่า” ประจำใจตนเองในเรื่องหน้าที่ครู ที่เป็นแกนหลักของการวิจัยปฏิบัติการประเมินตนเองนั่นเอง
เพื่อให้การเก็บข้อมูลจากการปฏิบัติมีความครบถ้วน น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เขาแนะนำคำถามเพื่อการใคร่ครวญสะท้อนคิด ๒ คำถาม ดังนี้
เส้นทางการฟันฝ่าอุปสรรค สู่ผลการสอนที่ดีขึ้นกว่าเดิม (ในบางด้าน) เป็นเส้นทางการเรียนรู้ที่ทรงคุณค่ายิ่ง
ตัวอย่างจากงานวิจัยของผู้เขียน
งานวิจัยของผู้เขียนเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาโท โดยมีเป้าหมายเพื่อแสดงพัฒนาการของตนเอง ในการปฏิบัติงานสอนตามปกติ และพัฒนาการด้านความรู้ความเข้าใจ โดยเริ่มต้นที่ผู้เขียนใคร่ครวญสะท้อนคิด ว่างานที่ก่อความไม่สบายใจของตนเองคืออะไร นำไปสู่กรณีของลูกศิษย์ที่ชื่อ แคโรไลน์
กรณีศึกษาของผู้เขียนเป็นศิษย์เด็กหญิงอายุ ๑๑ ปี ได้ชื่อสมมติว่า แคโรไลน์ มีปัญหาไม่ส่งการบ้าน และบางครั้งก็ขาดเรียน ผู้เขียนเคยกำชับให้ทำการบ้านมาส่งให้เรียบร้อยก็ไม่ได้ผล ในที่สุดผู้เขียนจึงหาทางช่วยแคโรลีนโดยบอกว่า ต้องทำการบ้านมาส่งให้ครบ มิฉะนั้นก็จะให้แยกไปทำการบ้านให้เสร็จในช่วงเวลาเรียน ผลคือ วันรุ่งขึ้นแคโรไลน์ไม่มาเรียน และไม่มาอีกเลย เพิ่มปัญหาจากไม่ทำการบ้านสู่ไม่มาเรียน
ผู้เขียนเล่าการใคร่ครวญสะท้อนคิดละเอียดมาก และมีการทบทวนและเปลี่ยนแปลงความคิดในช่วงเวลานั้น จากเดิมคิดว่าตนเองทำถูกแล้ว ที่คาดคั้นขู่เข็ญให้แคโรไลน์ทำการบ้านมาส่งให้เรียบร้อย เพราะหากครูปล่อยให้นักเรียนคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามที่ครูสั่ง ไม่ช้านักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นก็จะทำตามอย่างบ้าง ตอนแรกผู้เขียนคิดว่าตนทำหน้าที่รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในชั้นถูกต้องแล้ว
แต่เมื่อใคร่ครวญต่อไป ผู้เขียนคิดว่าเดิมตนได้ตีความหลัก “ความเท่าเทียม” (equality) และใช้ปฏิบัติต่อศิษย์ทุกคน คือทุกคนต้องส่งการบ้าน ครูต้องจัดการให้นักเรียนทุกคนส่งการบ้าน จึงจะยุติธรรม แต่ต่อมาเกิดการตีความคำว่า equality ใหม่ โดยแยกความแตกต่างระหว่าง “ความเท่าเทียม” กับ “ความเหมือน” ผู้เขียนเกิดความเข้าใจว่า การปฏิบัติต่อศิษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องปฏิบัติต่อแต่ละคนเหมือนกันทั้งหมด เพราะเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน การให้ความเท่าเทียมต่อศิษย์ จึงหมายความว่าปฏิบัติต่อเด็กตามความแตกต่างกัน หรือตามสภาพของเด็กแต่ละคน คือใช้หลักการยอมรับความแตกต่าง ไม่ใช่ละเลยความแตกต่าง
ในกระบวนการใคร่ครวญสะท้อนคิดต่อเนื่อง ผู้เขียนเริ่มรู้สึกว่า ตนเองมีส่วนเป็นต้นเหตุให้แคโรไลน์ ไม่มาโรงเรียน โดยการขู่ว่าจะลงโทษหากมาโรงเรียนโดยไม่ทำการบ้านหรือทำการบ้านไม่เสร็จ และคิดว่าแคโรไลน์คงหาทางออกไม่ได้ จึงแก้ปัญหาโดยไม่มาโรงเรียน ความคิดเช่นนี้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตกใจ และเกิดการเรียนรู้ใหม่ว่า ตนเองต้องมีความรับผิดรับชอบต่อการกระทำของตน ต่อนักเรียนที่ไม่มีเสียงไม่มีอำนาจ และนำไปสู่ความคิดว่า ตนควรหาสาเหตุที่แคโรไลน์ทำการบ้านไม่เสร็จ
จะเห็นว่า ในขั้นตอนของการใคร่ครวญสะท้อนคิดอย่างจริงจัง ผู้เขียนได้ตกอยู่ในความรู้สึกอึดอัดขัดข้อง ในการกระทำของตน ที่ขัดกับข้อยึดถือคุณค่าประจำใจ ซึ่งได้แก่
ผู้เขียนคิดใคร่ครวญว่า การที่แคโรไลน์ ขาดเรียนโดยง่ายและนานหลายวัน มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การออกจากการเรียนกลางคัน เป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องช่วยเหลือแคโรไลน์ให้ได้เข้าเรียนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเกิดความมั่นใจต่อการเรียน ที่จะนำไปสู่ฉันทะต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
แผนปฏิบัติการ
แผนปฏิบัติการแรกคือ หาทางพูดคุยกับแคโรไลน์ ว่ามีความยากลำบากในการทำการบ้านอย่างไร แต่จะได้คุยก็ต่อเมื่อแคโรไลน์มาโรงเรียน ผู้เขียนจึงไปขอความช่วยเหลือจากครูใหญ่ ซึ่งได้ไปเยี่ยมแคโนไลน์ที่บ้านในเช้าวันต่อมา และชักชวนให้มาโรงเรียน ซึ่งก็ได้ผล แคโรไลน์มาโรงเรียนสายนิดหน่อยในเช้าวันนั้น ผู้เขียนไม่ว่ากล่าวใดๆ และไม่พูดถึงเรื่องการบ้านในวันนั้น ผู้เขียนรอจังหวะให้แคโรไลน์คลายเครียดเสียก่อนจึงค่อยหาทางพูดคุย จึงได้ข้อมูลที่น่าเห็นใจมากว่า แคโรไลน์ไม่มีคนช่วยเหลือแนะนำการทำการบ้าน เพราะแม่ออกจากบ้านไปทำงานทันทีที่แคโรไลน์กลับถึงบ้าน และพี่ๆ ของแคโรไลน์ก็มีกิจกรรมของตนเอง ไม่มีเวลาช่วยแนะนำการทำการบ้านให้น้อง แคโรไลน์บอกว่า เธอติดขัดการบ้านวิชาคณิตศาสตร์มากที่สุด ส่วนวิชาภาษาอังกฤษพอทำได้
ผู้เขียนจึงแนะนำว่า ในช่วงแรกให้แคโรไลน์ทำเฉพาะการบ้านภาษาอังกฤษให้เสร็จก่อน ยังไม่ต้องทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งช่วยให้แคโรไลน์แสดงท่าทีสบายใจ และทำการบ้านมาส่งเสร็จเรียบร้อยทุกวัน ตลอดสัปดาห์ ผู้เขียนบันทึกใน reflective journal ของตนว่าตนรู้สึกเครียดน้อยลง และแคโรไลน์ก็มีท่าทีผ่อนคลายลงมาก ผู้เขียนรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับแคโรไลน์ดีขึ้น
ผู้เขียนใคร่ครวญสะท้อนคิดการปฏิบัติของตน เชื่อมโยงกับหลักการเชิงคุณค่าที่ตนยึดถือ ตามที่ระบุข้างต้น และคิดว่าตนได้เปลี่ยนมาใช้หลักการประชาธิปไตยโดยขอรับฟังข้อมูลของนักเรียน ซึ่งผมตีความว่า คุณค่าที่สำคัญ คือปฏิสัมพันธ์แนวราบ ยึดถือความเท่าเทียมกันระหว่างนักเรียนกับครู และแทนที่ครูจะใช้อำนาจเหนือของตนสั่งการหรือกำหนดเงื่อนไข กลับขอรับฟังสภาพความเป็นอยู่ของนักเรียน เพื่อหาทางช่วยเหลือ ใช้ความเมตตาเห็นอกเห็นใจแทนที่การใช้อำนาจ เอานักเรียนเฉพาะคนเป็นตัวตั้งในการช่วยแก้ปัญหาของนักเรียนคนนั้น แทนที่จะเน้นให้นักเรียนที่มีปัญหาพิเศษต้องปฏิบัติเหมือนเพื่อนๆ ทั้งห้อง ผมคิดว่า ในขั้นตอนใคร่ครวญสะท้อนคิดของผู้เขียน ได้เกิดสะเก็ดเล็กๆ ของการเปลี่ยนแปลงในระดับ transformation เชิงกระบวนทัศน์จำนวนมากมาย ซึ่งหลายส่วนผู้เขียนไม่ได้ระบุในหนังสือ
หลังจากเริ่มปฏิบัติการแก้ปัญหาสองสัปดาห์ ผู้เขียนก็ทบทวนการดำเนินการ โดยในช่วงนั้นครูที่ทำหน้าที่ประคับประคองการเรียนของแคโรไลน์บอกผู้เขียนว่า แคโรไลน์สนใจการเรียนขึ้นมาก ผู้เขียนจึงตัดสินใจดำเนินการโครงการวิจัยขั้นต่อไป โดยพูดคุยกับแคโรไลน์และถามความรู้สึกของเธอต่อการทำการบ้าน และได้รับคำตอบว่า เธอทำการบ้านได้ง่ายขึ้น และเวลานี้เธอชอบการมาโรงเรียนแล้ว ผู้เขียนจึงถามว่าเธอพร้อมจะทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์หรือยัง พร้อมกับบอกว่าทำถูกหรือผิดไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือได้ฝึกหัดใช้ความพยายาม และได้ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับเรียนในระดับสูงขึ้นคือชั้นมัธยมต้น พร้อมกับแนะว่า หากเธอทำการบ้านคณิตศาสตร์ จะลดการบ้านภาษาอังกฤษลงครึ่งหนึ่ง แคโรไลน์บอกว่า จะพยายามทำการบ้านคณิตศาสตร์ โดยจะทำการบ้านภาษาอังกฤษทั้งหมด
แล้วแคโรไลน์ก็ทำตามคำพูดไปตลอดเวลาในชั้นเรียนชั้น ป. ๖ และผู้เขียนก็ทำงานวิจัยจบ โดยได้เขียนจดหมายไปขออนุญาตจากแม่ของแคโรไลน์ ขอใช้เรื่องราวของแคโรไลน์ในงานวิจัย โดยจะปกปิดชื่อเป็นความลับ และได้รับอนุญาต
ผมใคร่ครวญสะท้อนคิดเองว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดในเรื่องนี้คือ การแสดงความรักความห่วงใยที่ครูให้แก่ศิษย์ เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับศิษย์ ยิ่งตัวแคโรไลน์ ซึ่งพอจะมองออกว่า อยู่ในครอบครัวที่เศรษฐฐานะไม่ดี และขาดความอบอุ่นที่บ้าน ความรักความเมตตาจากครูจะยิ่งมีค่า บทบาทของครูไม่ใช้แค่จำกัดที่การสอนวิชา แต่ต้องเอาใจใส่การเรียนรู้และพัฒนาการของศิษย์แบบองค์รวม คือทั้งด้านนิสัยใจคอ (หรือคุณลักษณะ), สมรรถนะ (หรือทักษะ), และ ความรู้ ในเรื่องคุณลักษณะ สิ่งที่แคโรไลน์ต้องการอย่างยิ่งคือ นิสัยใฝ่รู้ สู้สิ่งยาก ครู Bernie Sullivan (ผู้เขียน) ได้ช่วยให้แคโรไลน์เกิดนิสัยใฝ่รู้ สู้สิ่งยาก ผ่านกระบวนการวิจัยของตน ที่แสดงออกที่ความห่วงใย เมตตากรุณา
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ๓ ขั้นตอนใหญ่ๆ
ข้อมูลที่ผู้เขียนรวบรวมเป็นคลังข้อมูลเพื่อการวิจัย เป็นไปตามรายการที่ระบุตอนต้นบันทึกนี้ โดยในกรณีของแคโรไลน์ ได้แก่ ข้อมูลการมาโรงเรียนและการทำการบ้าน ข้อมูลที่ครูท่านอื่นๆ เอ่ยถึงแคโรไลน์ บันทึกของครูใหญ่ เรื่องแคโรไลน์ และข้อสังเกตการดำเนินการที่ผู้เขียนทำ ที่ครูใหญ่มอบให้ผู้เขียน จดหมายจากแม่ของแคโรไลน์ บันทึกรายละเอียดการสนทนาระหว่างแคโรไลน์กับผู้เขียน และคำพูดของแคโรไลน์ตอนจบโครงการวิจัย ว่าเธอรู้สึกอย่างไรเมื่อผู้เขียนเปลี่ยนวิธีดำเนินการแก้ปัญหาของเธอ
การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนำข้อมูลมาตรวจสอบตีความการกระทำของตนเอง และหาคำอธิบายต่อการกระทำนั้น
เริ่มจากการตรวจสอบเป้าหมายของการวิจัยเพื่อหาข้อสรุปว่าบรรลุเป้าหมายเพียงไร ตามด้วยการตรวจสอบคุณค่าที่ตนยึดถือ เพื่อประเมินว่าตนได้ปฏิบัติตามคุณค่านั้นเพียงใด และใช้ข้อมูลบอกว่าตนได้มีการพัฒนาวิธีปฏิบัติหน้าที่ครูในด้านใด
เขาแนะนำให้วิเคราะห์ข้อมูลผ่านการตอบคำถามต่อไปนี้
การใคร่ครวญสะท้อนคิดต่อการปฏิบัติ
มาถึงขั้นนี้เราเห็นชัดเจนว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติของผู้เขียน ประเด็นต่อไปคือจะพัฒนาการเปลี่ยนแปลง (change) สู่การปรับปรุงให้ดีขึ้น (improvement) ได้หรือไม่
ขั้นตอนต่อไปของการวิจัยคือ ใคร่ครวญสะท้อนคิดอย่างจริงจัง เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติในช่วงแรก กับการปฏิบัติหลังการเปลี่ยนแปลง ในช่วงแรกผู้เขียนยึดปฏิบัติตามกติกาห้องเรียนอย่างเข้มงวด คือนักเรียนทุกคนต้องทำการบ้านมาส่งครูในวันรุ่งขึ้น แต่หลังจากเกิดกรณีแคโรไลน์ ผู้เขียนเปลี่ยนมาใช้กติกาดังกล่าวอย่างยืดหยุ่น คือมีการผ่อนปรนต่อนักเรียนบางคน ผู้เขียนตีความว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด จากคิดแบบอำนาจนิยม มาเป็นคิดอย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ถือเป็นพัฒนาการทางความคิด ที่จะต้องนำไปใช้ในทางปฏิบัติ
การเปลี่ยนแปลงในทางปฏิบัติก็คือ ผู้เขียนมีแผนปฏิบัติใหม่ คือถามแคโรไลน์ว่ามีความยากลำบากอย่างไรบ้างในการทำการบ้าน ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้คุณค่าด้านประชาธิปไตยในการศึกษา คือเปิดโอกาสให้นักเรียนมีโอกาสบอกเรื่องราวและความต้องการของตน ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจต่อประเด็นที่มีผลต่อตัวนักเรียนเอง นี่เป็นพฤติกรรมเชิงนวัตกรรมสำหรับผู้เขียน เพราะตนไม่เคยทำมาก่อน และเมื่อพิจารณาตามแนวคิดของเปาโล แฟร์ ก็ถือเป็นการปลดปล่อยอิสรภาพจากการกดขี่ให้แก่การเรียนการสอน
การที่ผู้เขียนปรึกษาหารือกับแคโรไลน์ เป็นแนวทางใหม่ในการวางปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน คือจากความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม ที่ครูเป็นผู้มีอำนาจเหนือในการตัดสินใจ เปลี่ยนมาเป็นความสัมพันธ์ที่มีความเท่าเทียมกัน มากขึ้น หรือเปลี่ยนจากปฏิสัมพันธ์แบบ ฉัน - มัน (I – It) มาเป็นแบบ ฉัน – คุณ (I – Thou) คือมีการให้เกียรติหรือเคารพกันมากขึ้น ปฏิสัมพันธ์แบบ ฉัน – มัน เป็นการปฏิบัติต่อนักเรียนเหมือนเป็นสิ่งของ ไร้ชีวิตและวิญญาณ แต่ในปฏิสัมพันธ์แบบ ฉัน – คุณ ครูมีความรู้สึกต่อนักเรียนเป็นเพื่อนมนุษย์ ที่มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับตนเอง เมื่อใคร่ครวญสะท้อนคิดถึงตรงนี้ ก็เห็นชัดเจนว่า ผู้เขียนมีการพัฒนางานของตนเอง
ผู้เขียนใคร่ครวญสะท้อนคิดต่อไปว่า ในการที่ตนเองพยายามใช้กติกาชั้นเรียนเรื่องส่งการบ้านต่อนักเรียนทุกคนเหมือนกันหมด มีพื้นฐานจากความคิดว่า นักเรียนในชั้นเหมือนกันหมด ซึ่งไม่จริง และเนื่องจากตนต้องการให้นักเรียนทั้งชั้นได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพสูง จึงบังคับใช้กฎเรื่องส่งการบ้านเท่าเทียมกันทุกคน นอกจากนั้นตนยังคิดว่า นักเรียนต้องการให้ครูปฏิบัติต่อนักเรียนทุกคนอย่างยุติธรรมในเรื่องการส่งการบ้าน หากหย่อนให้นักเรียนคนหนึ่ง ในที่ขณะบังคับเข้มงวดต่อนักเรียนคนอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมด จะเป็นการไม่ให้ความยุติธรรมต่อนักเรียนส่วนที่เหลือ ซึ่งผู้เขียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติว่า การยืดหยุ่นการปฏิบัติตามกฎการส่งการบ้านให้แก่แคโรไลน์ ไม่มีผลต่อพฤติกรรมการส่งการบ้านของนักเรียนคนอื่นๆ เลย แต่มีผลดีต่อพฤติกรรมการเรียนของแคโรไลน์ ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้ว่านักเรียนแต่ละคนเป็น “หนึ่งจักรวาล” ที่มีศักยภาพ ปัญหา และอัตราเร็วของการเรียนรู้ จำเพาะของตนเอง ครูจึงต้อง “ใคร่ครวญสะท้อนคิดระหว่างสอน” (reflect-in-action) ต่อนักเรียนแต่ละคน เอามาคิดวางแผนการสอน
ครู Bernie Sullivan เข้มงวดเรื่องการส่งการบ้านต่อแคโรไลน์ เพราะเกรงว่าหากเธอไม่ส่งการบ้าน จะทำให้ผลการเรียนไม่ดี ส่งผลต่อการเรียนต่อชั้นมัธยม และอาจต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน พัฒนาการที่เกิดขึ้นต่อมาสอนครู Bernie Sullivan ว่า “คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ” ในเรื่องการเรียนรู้ ซึ่งผมขอเพิ่มเติมว่า ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งในการสอนของครูโดยทั่วไปคือ การตลุยสอนให้ครบถ้วนตามหลักสูตร ซึ่งเป็นการยึดถือปริมาณเป็นเป้า มีคำแนะนำโดยครูเก่งๆ จำนวนมากมายว่าจงอย่าทำเช่นนั้น ให้ยึดถือการกำหนดประเด็นสำคัญที่นักเรียนในชั้นจะต้องเรียน แล้วเน้นสอนส่วนนั้นให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างลึก (เกิด higher order learning) แล้วนักเรียนจะเรียนรู้ส่วนที่เหลือได้เอง หรือไม่รู้ก็ไม่เป็นไร
แรงบันดาลใจให้ครู Bernie Sullivan ทำงานวิจัยชิ้นนี้อยู่ที่ความเป็นห่วงต่อ แคโรไลน์ ความเป็นห่วงนี้มาจากความเมตตาสงสาร แต่พฤติกรรมของครู Bernie Sullivan ในช่วงแรก ทำให้แคโรไลน์ไม่เห็นความเมตตาห่วงใยนั้น แต่เมื่อครู Bernie Sullivan เปลี่ยนวิธีการ แคโรไลน์ก็เห็นความเมตตาห่วงใยนี้ทันที ก่อผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ผู้เขียนได้ข้อเรียนรู้ว่า ความรักและห่วงใยเป็นแก่นแกนของปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์
หลักฐานแสดงการพัฒนาการสอนและความเข้าใจต่อการสอน
นักวิจัยปฏิบัติการจะต้องนำข้อมูลจากการใคร่ครวญสะท้อนคิด มาจัดทำเป็นหลักฐาน (evidence) ของการพัฒนาการสอน และความเข้าใจต่อการสอน เพื่อแสดงหลักฐานที่หนักแน่น ตอบคำถาม
การวิจัยปฏิบัติการพัฒนาตนเองของครู นำไปสู่พัฒนาการด้านการปฏิบัติ และด้านความคิดของตนเอง และจะนำไปสู่การพัฒนาทฤษฎีจากการปฏิบัติ ซึ่งจะกล่าวถึงในบันทึกตอนที่ ๙
วิจารณ์ พานิช
๗ ก.ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น