"ก่อนหน้านี้ไม่เคนคิดเลยว่าตนเองจะมาเป็นครู ซึ่งครูเป็นอาชีพที่ไม่เคยใฝ่ฝัน และไม่เคยคิดอยากจะเป็นเลย"
>>>> การสอบสมัยนั้นเรียกว่า การสอบ A-Net / O-Net เพื่อเป็นการวัดความรู้ระดับชาติโดยจะต้องเลือกคณะ/สาขา ในการเรียนต่อ ซึ่งขณะนั้นก็ได้เลือก หมอ พยาบาล เ ภสัชฯ อาจจะเป็นหวังสูง แต่เราก็สอบเทียบคณะพยาบาลของมหวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ซึ่งก็ตรงตามความต้องการของเรา แต่ในความต้องการของเรานั้น ก็มีอาซึ่งเป็นนักเทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน กทม. เขาก็บอกให้เราคิดดีๆ ณ ช่วงเวลานั้นเราก็แปลกใจว่าทำไมไม่มีคนดีใจกับเราเลย ทั้งที่เราสอบติดคณะพยาบาล ของมหาวิทยาลัยชื่อดังเลยนะ อาก็เลยบอกว่าอยากเป้นพยาบาลจริงๆ หรือว่าอยากเป็นเพราะเหตุผลอื่นๆ เช่น เรียนตามเพื่อนหรือเปล่า ??? ช่วงนี้ยังสามารถตัดสินใจ เปลี่ยนใจได้ เพราะอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน อาก็เลยให้ไปทำงานในโรงพยาบาลเพื่อต้่องการให้เห็นถึงการทำงานของพยาบาลอย่างแท้จริง เราได้ไปโรงพยาบาลเพื่อศึกษาการทำงานของพยาบาลเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน ก่อนถึงวันที่ต้องไปรายงานตัว และแล้วในสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่รายงานตัวเป็นนักศึกษาพยาบาล เราได้ไปทำงานร่วมกับพยาบาลจริงๆ โดยได้อภิสิทธิ์จากผู้อำนวยการของโรงพยาบาล ได้ทำทุกอย่าง คนไข้เรียกให้ไปเปลี่ยนผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ เอากระโถนถ่ายหนักถ่ายเบามาทิ้ง ทำไมเราไม่ชอบเลย ไม่อยากทำเลย อีกทั้งเจอเคสประสบอุบัติเหตุ ที่มีแต่เลือดเต็มร่างกาย หัวใจเริ่มตุ้มๆป่องๆ มีอาการเหมือนคนจะเป็นลมอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายเบาๆ เหมือนจะล้ม เลือดบนหน้าร้อนวูบๆ อย่างบอกไม่ถูก แสดงว่าเราต้องกลัวเลือด เหรอ ??? เกิดคำถามมากมายในใจ เราก็มานั่งคิดทบทวนถึงคำพูดของคนรอบข้าง เราจึงรับรู้เลยว่า "เราไม่เหมาะกับอาชีพพยาบาล" แน่ๆ จึงได้ตัดสินใจ สละสิทธิ์จากการรายงานตัวคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วจึงเริ่มอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งใหม่ ซึ่งนี้มุ่งมั้นเลยว่า จะต้องสอบเข้าในคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่ไหนก็ได้สักแห่ง
>>>> และแล้ว เราก็ทำสำเร็จ สามารถเรียนในคณะที่เราต้องการได้ แล้วเรียนจนจบปริญาตรี
>>>> แต่ชีวิตก็ถึงจุดพลิกพลันอีกครั้ง หลังเรียนจบเราก็ได้ทำงานสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งไม่เกี่ยวกับสาขาที่เราจบมาแต่อย่างใด แต่เป็นช่วงที่รองาน และรอการรับปริญญาบัตร เลยยังไม่อยากกลับบ้านที่เชียงใหม่ เนื่องจากต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไหนจะต้องหาที่พักให้กับญาติพี่น้องที่มาร่วมงานรับปริญญา จึงตัดสินใจทำงานที่สนามบินไปพลางๆก่อน
...... ก่อนที่จะกลับมาทำงานที่ศาลจังหวัดฝาง ในตำแหน่งนิติกร ซึ่งเป็นการจ้างตามระยะเวลาที่จำกัดคือ 6 เดือน ในช่วงระยะเวลานั้นก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆมากมาย ทั้งความรู้จากเพื่อนๆ พี่ๆ รวมถึงท่าผู้พิพากษา อัยการ ที่คอยเรียกไปสอนงาน อบรม รวมถึงให้แง่คิดในด้านต่าง ในช่วงระยะเวลาการทำงาน ก็ได้มีโอกาสได้สอนเด็กในโรงเรียนขยายโอกาสและผู้ต้องโทษ ในวันสำคัญต่างๆ หรือเนื่องในวันสำคัญ ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้พบเจอและได้เรียนรู้ หลังจากนั้นได้รับการทาบทามจากโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งสังกัดกรมอาชีวศึกษา ติดต่อให้เป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย จนทามทาบให้มาเป็นครูอย่างเต็มตัว จุดนี้ได้เริ่มต้นใช้คำว่า ครู
>>>> หลังจากนี้ต่อไป ใช้คำว่าครู ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะต้องเป็น #ช้าราชการ ให้แม่ภูมิใจให้ได้ค่ะ
** เส้นทางที่เริ่มต้นจากนักกฎหมาย สู่การเป็นครู อย่างแท้จริง **
จาก “นักกฎหมาย” มาเป็น “ครู” น่าสนใจมาก ;)…
เยี่ยมมากค่ะประทับใจ
:)Ongkuleemarn เส้นทางชีวิตมันเปลี่ยนไป เพราะตัวเราหรือกรรมลิขิตก็ไม่ทราบเหมือนกัน
:)Ongkuleemarn เส้นทางชีวิตมันเปลี่ยนไป เพราะตัวเราหรือกรรมลิขิตก็ไม่ทราบเหมือนกัน
เป็นกำลังใจให้ทำฝันให้เป็นจริงได้ในเร็ววันค่ะ สู้ๆ
ความฝันนั้นอยู่ไกลถ้าเราไม่พยายาม สู้ๆคะ ^^
ทุกอย่างจะจบ ถ้าเราลบคำว่า “เป็นไปไม่ได้” เป็นความมุ่งมั่นที่น่าชื่นชม เขียนได้ดีมากครับ
ฟ้าลิขิตมาแล้วครับ สู้ๆ
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ
สู้นะคะคุณครูกฎหมาย
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ
เป็นกำลังใจให้นะคะสู้ๆ
แปลกแหวกแนวแต่ก็สุดยอดมากเลยครับ
สุดยอดมากครับ
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
Ongkuleemarn ขอบคุณค่ะ
kwanthai เช่นกันค่ะ
myfernz สุ้ๆค่ะ
บัวแก้ว ถุกต้องที่สุดค่ะ
น้ำหมึก ส.รุ่งรักษ์เจริญชัย ลิขิตให้พวกเราเจอกัน
เหล่าซือพิซซ่า เช่กันค่ะ
Khanitta ขอบคุณค่ะ
Sukanya C. เช่นกันค่ะ
คนบนฟ้า เช่นกันค่ะ
รจนา ตาสุยะ สู้ๆค้ะ
นางสาวเกศริน กาไว ค่ะ
นายจันทร์เจ้า มันเป้นกรรมลิขิตค่ะ
DocAutomotive ค่ะ
คนครัว เช่นกันคะ
Tacha Subhasan เช่นกันค่ะ
เมษา ใจโอบอ้อม เช่นกันค่ะ
พัชรินทร์ ทีเก่ง เช่นกันค่ะ
กัญญา สมอ๊อด เช่นกันค่ะ