๗๙๓. เพื่อชีวิตวันใหม่ที่สดใสกว่า...


จึงต้อง “ปลุกใจให้ตื่น ยืนหยัดอดทน ตั้งตนเป็นคนดี” และที่สำคัญลืมนึกไปเลยว่าตัวผมเองสอนหนังสือได้ทุกชั้น ระหว่างที่ขาดครูและรอครูบรรจุใหม่ ผมเข้าไปสอนแทนก็หมดปัญหา..ไม่มีอะไรยากเย็นเลย..เรื่องงานสอนเป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขได้ทุกวัน

              คนเราบางทีกว่าจะนึกอะไรได้ กว่าจะมองเห็นหนทางสว่างไสว ก็ต้องเสียเวลาเป็นครึ่งค่อนวัน เวลาที่ความคิดตีบตัน มันไปไม่เป็นจริงๆ

            เดือนกันยายนของทุกปี..ก็มักจะเป็นแบบนี้ หนักบ้างเบาบ้าง ก็ว่ากันไป วันนี้เมื่อสองปีก่อนนอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล ให้คุณหมอผ่าตัดสมอง ก่อนออกจากโรงพยาบาล คุณหมอเตือนว่าอย่าทำงานหนัก ให้รักษาสุขภาพด้วย

            ผมเชื่อฟังคุณหมอทุกอย่าง โดยเฉพาะการรักษาสุขภาพร่างกาย ในส่วนของงาน..ถ้าไม่ลงมือทำ..จะยิ่งหนักกว่าปกติ ก็เลยต้องทำ เพื่อจะได้เคยชินกับความหนักและความเหนื่อย ตอนนี้สบายใจแล้ว เคยชินกับความเหนื่อยและหนักเป็นปกติ

            ย้อนกลับไป..ทำไมต้องเน้นที่เดือนกันยายนด้วย..จริงๆไม่เกี่ยวกับเรื่องสิ้นปีงบประมาณ แต่ที่สัมผัสได้จากอดีตที่ผ่านมา จะเป็นเรื่องของครูย้าย หรือไม่ก็ลาออก

            ครูลาออก..จะเป็นครูจ้างสอน ที่จ้างจากเงินนอกงบประมาณ..ที่เขาต้องลาออกเพราะไปสอบบรรจุได้ ต้องไปรายงานตัวในเดือนตุลาคม..ผมก็มักจะเจอแบบนี้เสมอๆ

            วันนี้..ได้ข่าวว่าครูสอบได้ ๒ คน..ไปก่อนแน่ๆ ๑ คน อีก ๑ คนคงเป็นปีหน้า แต่มีเค้าลางว่าอาจจะไปหมดเลย เพราะทั้ง ๒ คนขับรถมาโรงเรียนด้วยกัน ถ้าขาดเพื่อนเดินทาง อีกคนก็เริ่มจะใจคอไม่ดี

            ผมใช้ความคิดอย่างหนัก ภาคเรียนที่ ๒ จะทำอย่างไร? คิดวนไปวนมา ไม่มีสมาธิในการทำงาน ต้องเดินไปศาลาท่าน้ำ เพื่อผ่อนคลาย ก็ยังไม่วายที่จะคิดแก้ปัญหา

            พักสายตามองดูยอดฟักทอง แตงกวาและบวบ ที่กำลังเลื้อยขึ้นร้าน แตงกวาแตกยอดเบิกบานชูช่อไสว แต่ทำไม? วันนี้ผมไม่อยากทักทายกับเจ้าผักพวกนี้เลย...

            ผมสาละวนอยู่ที่แปลงผักเป็นนานสองนาน แต่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน?มันบอกไม่ถูก ยืนนิ่งๆ สูดลมหายใจลึกๆ บอกตัวเองว่า...เฮ้ยคิดสิ คิดหน่อย คิดอะไรก็ได้แบบว่า..ปลอบใจตัวเอง...น่ะ

            แล้วก็คิดออก..แบบง่ายๆและสั้นที่สุด บอกกับตัวเองเพียง ๒ ประโยคเท่านั้น ฉับพลันทันใด..สมองก็วาบสว่างใส โรงเรียนที่ดูมืดมัว ก็แจ่มกระจ่างขึ้นมาทันที

            ผมบอกตัวเองว่า..”ลืมไปแล้วหรือว่าเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก..?” และ “เคยเจอแบบนี้มาแล้ว ยังไม่ชินอีกหรือ..?” เท่านี้เอง..กำลังใจมาเลย..

            คำว่า..โรงเรียนขนาดเล็ก..มันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ สถานภาพจะสอนให้สู้ จริงๆก็สู้และแก้ปัญหามาโดยตลอด แต่วันนี้..รู้สึกกระทันหันและมีงานรุมเร้าจนคิดอะไรไม่ออก และก็คิดว่า..โรงเรียนขนาดเล็กทั่วไป ก็คงมีปัญหาเช่นเดียวกันหมด..

            ผมเริ่มมองปัญหาที่จุดเดียว จากนั้นปัญหาก็เล็กลง..เดินตัวเบาหวิวเลย ไปตรวจการก่อสร้างอาคารเรียน ที่ใกล้จะแล้วเสร็จ อยู่ในช่วงติดตั้งฝ้าเพดานและเดินไฟฟ้า เพลิดเพลินอยู่สักพัก ก็คิดได้ว่าอาคารเรียนหลังใหม่นี่แหละ คือตัวแทนคุณงามความดี ที่ต้องมีและต้องทำอย่างสม่ำเสมอ..จะท้อถอยไม่ได้..

            จากนั้น..ผมก็นึกขึ้นมาได้อีกว่า..เขตพื้นที่การศึกษาจะให้ครูบรรจุใหม่ ๑ คน ประมาณเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ๒๕๖๑ ช้าหน่อยแต่ก็รอได้ อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาภาระงานไปได้เยอะ..

            วันนี้..ก็เท่ากับว่า ได้เตือนตนด้วยตนเอง..ว่าอย่าคิดเยอะ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ..วันนี้คิดได้ก็ดีแล้ว..เพื่อชีวิตวันใหม่ที่สดใสกว่า..

            จึงต้อง “ปลุกใจให้ตื่น ยืนหยัดอดทน ตั้งตนเป็นคนดี” และที่สำคัญลืมนึกไปเลยว่าตัวผมเองสอนหนังสือได้ทุกชั้น ระหว่างที่ขาดครูและรอครูบรรจุใหม่ ผมเข้าไปสอนแทนก็หมดปัญหา..ไม่มีอะไรยากเย็นเลย..เรื่องงานสอนเป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขได้ทุกวัน

            คิดได้แล้วก็สบายใจ ทำให้ผมคิดถึง “คำพ่อสอน” ที่ทรงมีพระราชดำรัสไว้เมื่อวันที่  ๕ เมษายน  ๒๕๒๑..ความว่า “ความสบายใจของคนเป็นของที่หายาก คนเราต้องมีความสบายใจ จึงจะมีชีวิตที่ราบรื่นได้...”

 ชยันต์  เพชรศรีจันทร์

๑๑  กันยายน  ๒๕๖๑

 

          

            

หมายเลขบันทึก: 652327เขียนเมื่อ 11 กันยายน 2018 22:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กันยายน 2018 22:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท