บันทึกพี่ศิริรัตน์เกษียณ


พี่ศิริรัตน์แกเป็นคนธรรมดา คนที่ตื่นเช้ามาก็ต้องมาทำงาน เลิกงานไปก็กลับบ้าน

ชีวิตที่วนเวียนอยู่แบบนี้มันก็คงเหมือนกันกับคนอื่นๆทั่วไป ที่ทำงาน กลับบ้าน ทำงาน พัก ทำงาน กลับบ้าน วนเวียนไปเรื่อยๆ หากไม่ตกลงปลงใจลาออกไปเสียก่อน ก็ต้องมาถึงวันที่ต้องหยุดทำงานประจำสักทีเมื่ออายุครบ ๕ รอบ

“พี่ศรีหรือป้าศรี” คือชื่อของศิริรัตน์ที่ธนพันธ์ใช้เรียกในยามปกติ หากเป็นในเวลาที่เป็นการเป็นงานหน่อยก็น่าจะเป็น “พี่ศิรัตน์” ทั้งๆที่แกมีชื่อจริงว่า “ศิริรัตน์” และมีชื่อเล่นจริงๆ ว่า “พี่เค็ง”

พี่ศรีแกมาทำงานที่ภาควิชาสูติฯของเราตั้งแต่เป็นสาว ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ผมเองก็คงยังเป็นเด็กอยู่กระมัง

ตราบเมื่อได้เข้ามาเรียนหนังสือในคณะแพทย์จนถึงปี ๕ ผมก็ได้รู้จักพี่ศรีในฐานะผู้ดูแลการเรียนการสอนของนักเรียนแพทย์ เราจึงรู้จักกันมาตั้งแต่บัดนั้น

บัดไหน

ก็บัดเดี๋ยวนั้นที่เป็นนักเรียนแพทย์ขั้นปี ๕ ผมต้องมีภาระพาน้องๆชั้นปี ๑ ไปร่วมแข่งขันกีฬาระหว่างสถาบันแพทย์หรืออีกชื่อว่า “เข็มสัมพันธ์” ก็ได้พี่ศรีนี่แหละที่ช่วยจัดตารางการเรียนการสอนของภาควิชาสูติฯใหม่ให้ทั้งหมด ผมและน้องจึงได้ไปร่วมแข่งกีฬาที่ฐานทัพเรือสัตหีบ และช่วงนั้นกระมัง ที่ผมรู้สึกว่า เพื่อนสนิทที่ชื่อ “จิ๋ม” ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน

ก็บัดเดี๋ยวนั้นที่เรียนจบแพทย์มาเป็นแพทย์ใช้ทุนในภาควิชาสูติฯ พี่ศรีก็ยังคงทำงานในหน้าที่นั้น 

ก็บัดเดี๋ยวนั้นที่ผมจบมาเป็นอาจารย์แพทย์ของภาควิชาสูติฯ พี่ศรีก็ยังทำงานหน้าที่นั้น หน้าที่ที่แกต้องจัดการเรียนการสอน การจัดสอบ คอยจัดให้พวกผมมีหน้าที่สอนตามตารางทั้งของภาควิขาฯและของส่วนรวม เรียกได้ว่าเป็นงานที่เหนื่อยเอาการเลยทีเดียว

ก็บัดเดี๋ยวนั้นที่ผมเริ่มอาวุโสพอที่จะได้เป็นรองหัวหน้าภาควิชาฯ พี่ศรีก็ยังคงทำหน้าที่เดิม 

ผมสังเกตเห็นว่า พี่ศรีจะรู้จักนักเรียนแทบทุกคน เวลาผมจะถามหานักเรียน แกก็จะหาเบอร์โทรศัพท์ให้ เวลาที่เด็กนักเรียนบางคนดูเพี้ยนๆ พี่ศรีก็จะหาประวัติมาได้อย่างรวดเร็ว 

พี่ศรีจึงเป็นตัวเชื่อมอย่างดีระหว่างครูแพทย์และลูกศิษย์ เรียกได้ว่า “แกแน่” ได้เลยทีเดียว

ผมห่างออกจากภาควิชาราว ๔ ปีเพื่อไปทำงานส่วนกลาง พี่ศรีก็ยังทำงานหน้าที่เดิม จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แกต้องมารับหน้าที่เป็นเลขาภาควิชาด้วยความ งง งง

ทำไมจึง งง งง

เออ ผมก็ งง งง

แต่ก็นั่นแหละ ทุกสิ่งย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเมื่อถึงเวลาอันควร และมีความเหมาะสมบางอย่าง ผมจึงปล่อยให้ความงงมันคงอยู่ต่อไปโดยไม่ได้สนใจที่จะหาคำตอบให้กับความงงที่มี

แล้วคนอย่างพี่ศรี มีอะไรที่ผมจะต้องมาเขียนถึง

มีครับ 

“ศิริรัตน์เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความกต้ญญู”

“นี่ป้า ทำไมไม่แต่งงาน” ผมเคยถามประโยคกวนตีนแบบนี้ออกไปเมื่อนานมาแล้ว

“ก็ไม่มีใครมาเอา” แกหัวเราะเบาๆตามสไตล์

“โห ตัวเองออกจะรวย น่าจะมีคนอยากมาขอแต่งด้วยอยู่นะ” ผมเย้าออกไป เพราะทราบมาว่า แกเป็นคนเก่าแก่ของหาดใหญ่ มีที่ทางในเมืองที่ว่ากันว่ามีราคาประเมินสูงพอๆกับที่แถวๆสีลม

“จริงอ่ะ ไม่มีใครมาจีบเลยเหรอ” ผมยังไม่ยอม

“อันที่จริงก็มีนะจารย์แป๊ะ” นั่นไง คำตอบที่เจ้าตัวไม่ได้ตอบ แต่เพื่อนๆรอบข้างตะโกนบอกผมมา

“เอ้ย...ใครกัน” เด็กมาทีหลังอย่างผมหูผึ่ง

แล้วการนินทากันต่อหน้าต่อตาเจ้าตัวอย่างออกอรรถรสก็ดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน 

“อันที่จริง แกไม่ยอมตกลงปลงใจไปกับใครก็เพราะแกต้องดูแลแม่” คำบอกเล่าของพี่เอี้ยง อดีตเลขาภาควิชาสูติฯ เล่าให้ผมฟัง

แม่พี่ศิริรัตน์ป่วยเป็นหลายโรค และแกก็เป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่นานมาก ซึ่งคนที่ดูแลแม่เป็นคนหลักๆก็มีพี่ศรีและพี่น้องอีกสักคนผมก็ไม่แน่ใจนัก 

“ตอนนั้นพวกพี่ก็ลุ้นกันแทบตาย” คนเล่ายังไม่ยอมจบ 

ครับคนเล่าและคนชงยังไม่ยอมจบ แต่พี่ศรีของเราจบครับ แกต้องดูแลแม่ และดูแลอย่างดี

“พี่ แม่พี่มีแผลกดทับบ้างไหม” ผมเคยถามออกไป

“ไม่ค่ะ แม่จะถูกพวกพี่คอยพลิกตัวให้ตามเวลา” คำว่าพวกพี่ที่แกเล่ามานั้นน่าจะหมายถึง พี่ๆน้องๆ ที่ช่วยกันดูแลแม่อยู่นั่นเอง

“โหพี่ มันยอดมากเลยนะครับ” ผมชื่นชมออกไปด้วยความจริงใจ เพราะรู้อยู่ว่า คนไข้ที่เป็นอัมพาตนั้น มีความเสี่ยงที่จะมีแผลกดทับจากการนอนท่าเดียวนานๆนั้นเยอะมากหากได้รับการดูแลที่ไม่ดี

“พี่..เสียดายมั้ย ที่ไม่ตอบตกลงเป็นแฟนของเฮียคนนั้นในคราวนั้น” ยัง ผมยังไม่เลิกตอแยแก 

“ก็ไม่เห็นจะต้องไปเสียดายทำไม ในเมื่อพี่ก็ยังมีแม่ให้ดูแลอยู่ทุกวันนี่นา” คำตอบพร้อมเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยตอบมาแบบนี้หลายครั้ง 

เห็นไหม ว่าผมน่ะ ขี้กวนตีน

ราวปีเศษๆ แม่ของพี่ศรีก็จากไปอย่างสงบ 

และชีวิตพี่ศิริรัตน์ก็ยังคงดำเนินต่อไป

จนถึงตอนนี้ ในตำแหน่งของเลขาภาควิชาฯที่ได้มาแบบงงงง ทำงานที่ต้องเรียนรู้ใหม่มากมายและแสนจะวุ่นวายก็กำลังจะหมดวาระลง

พี่ศรีก็คงจะได้พักผ่อน ไม่ต้องมาทำงานอย่างที่ทำอยู่มาตลอดเกือบ ๔๐ ปี (มั้ย)

มีบ้างที่แกเหนื่อยหรือท้อใจจนบ่นออกมา

“พี่กำลังนับถอยหลังถึงวันเกษียณ” ประโยคแบบนี้หลุดมาบ้างเมื่อคราวที่ถูกอาจารย์เสี่ยวๆอย่างพวกผมเรรวนกวนตีน

ลองนึกภาพตารางการเรียนการสอนจากส่วนกลาง ที่ต้องหาอาจารย์ที่มีภาระหลากหลายมาเข้าประจำที่สอน บางทีรับปากว่าจะมาทำงาน แต่จู่ๆก็มีงานผ่าตัด ซึ่งคนไข้เองก็อยากใช้บริการจากอาจารย์เช่นกัน การยื้อแย่งเช่นนี้ จึงเป็นภาระหนักของพี่ศรีออกจะบ่อย

แต่เชื่อเถอะ ถึงแกจะนับถอยหลัง แกก็ยังรักและทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างดีที่สุด

ผมเขียนถึงพี่ศรี ไม่ใช่เพราะแกจะเกษียณ แต่นั่นคงเพราะคุณธรรมเรื่องความกตัญญูของพี่ ที่มันช่างจับใจผมนัก และที่ต้องมานั่งเขียนจริงเป็นเรื่องเป็นราว เพราะจู่ๆ แกก็มีอารมณ์อยากถ่ายรูปคู่ผมขึ้นมาน่ะสิ

แฮร่...

ธนพันธ์ ชูบุญเกือบมีพี่เขยเป็นเจ้าสัวเชียวนะฮ่าฮ่า

๖ กย ๖๑


หมายเลขบันทึก: 652141เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2018 18:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 กันยายน 2018 18:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
-พึ่งเห็นหมอแป๊ะชัด ๆ ก็วันนี้ ป่ะ!  หล่อมิใช่เล่นเลยทีเดียวเชียวค่ะ  (ขอโทษค่ะคุณหมอ พยายามจำสำนวนคุณหมอมาใช้ อิอิ)       -ชื่นชมค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท