วันนี้ (วันที่ 7 สิงหาคม 2561) ผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “การเรียนกับกิจกรม” ให้กับนิสิตใหม่คณะวัฒนธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการรับน้องสร้างสรรค์ของสโมสรนิสิตและฝ่ายพัฒนานิสิตคณะวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผมมีเวลาบรรยายประมาณ 1 ชั่วโมง –
และยังดื้อที่จะบรรยายในแบบฉบับของตนเอง คือ การบรรยายในแบบกึ่งกระบวนการ เพื่อให้ได้สัมผัสกับการเรียนรู้ในมิติ “บันเทิงเริงปัญญา”
ผมนำเข้าสู่การเรียนรู้ผ่านคลิปที่สะท้อนถึงการเรียนและการทำกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อให้สัมพันธ์กับโจทย์ที่ได้มาว่าด้วยเรื่องการเรียนและการทำกิจกรรม ตลอดจนการปูพรมแนวคิดอันเป็นอัตลักษณ์นิสิต (ช่วยเหลือสังคมและชุมชน) หรือปรัชญามหาวิทยาลัย (ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน) เอกลักษณ์มหาวิทยาลัย (ที่พึ่งของสังคมและชุน)
เช่นเดียวกับการสื่อให้เห็นถึงพันธกิจของมหาวิทยาลัยทั้ง 4 ด้านที่ประกอบด้วยการเรียนการสอน (ผลิตบัณฑิต) บริการวิชาการ ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และการวิจัย ผสมผสานไปกับการให้ความรู้เบื้องต้นว่าด้วย “กิจกรรมนิสิต” (กิจกรรมนอกหลักสูตร) ที่สัมพันธ์กับค่านิยมการเป็นนิสิต (MSU FOR ALL) และหมุดหมายของการเรียนรู้แบบบูรณาการ เพื่อก่อให้เกิดสมดุลของ Hard skills & Soft skills
จะว่าไปแล้ว 1 ชั่วโมงกับหัวข้อ สาระ และกระบวนการที่ต้องขับเคลื่อนนั้น ดูจะสวนทางอยู่มาก และนั่นคือความท้าทายสำหรับผม
ในเวทีครั้งนี้ ผมให้นิสิตใหม่ชั้นปีที่ 1 ขีดเขียนข้อมูลลงใน “ตาราง 4 ช่อง” ประกอบด้วยประเด็นในแต่ละช่อง ดังนี้
เอาจริงๆ เลยก็คือ ผมเจตนาที่จะชวนให้นิสิตใหม่ทบทวนตัวเองนั่นแหละ ทบทวนเป้าหมายในการเรียนและการใช้ชีวิต ทบทวนคุณลักษณะสำคัญๆ ของตนเอง ซึ่งคุณลักษณะที่ว่านั้นคือเครื่องมือในการที่จะนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเรียนรู้สู่การเติบโต รวมถึงการสำรวจทัศนคติของนิสิตที่มีต่อวิชาชีพและสถาบันที่เลือกเข้ามาเรียนรู้
นั่นคือฐานคิดของการให้นิสิตได้ขีดเขียนลงใน “ตาราง 4 ช่อง” ซึ่งผมไม่ได้อธิบายให้นิสิตได้รับรู้ก่อนทำกระบวนการ แต่เลือกที่จะเฉลยในตอนท้ายก่อนปิดเวที และอำลา
เหตุผลของการเลือกเรียนวัฒนธรรมศาสตร์
โดยส่วนใหญ่สะท้อนตรงกันคือชื่นชอบในเรื่องประเพณีและวัฒนธรรมของไทยและสังคมโลกเป็นทุนในตัวเองอยู่แล้ว ทว่าอยากเรียนให้รู้ซึ้งและรู้ลึกมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา รวมถึงการตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่การเป็นพลเมืองที่จะต้องอนุรักษ์และสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมให้คงอยู่สืบต่อไปให้ยาวนานมากที่สุด
เช่นเดียวกับการเรียนเพราะเชื่อว่าเป็นสาขาที่สามารถเข้าทำงานในกระทรวงหลักๆ ของชาติได้ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมศิลปากร
หรือกระทั่งมุมมองที่ว่าด้วยความมีชื่อเสียงของคณะ ทั้งที่เป็นคณะเดียวในประเทศไทย และตัวตนที่สัมพันธ์กับเรื่องวัฒนธรรมที่เข้มข้นในระดับภูมิภาค ซึ่งประเด็นหลังนี้ส่วนหนึ่งหมายถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของคณะที่มีต่อการจะผลิตบัณฑิตในศาสตร์ของความเป็น “นักวัฒนธรรม”
นอกจากนี้ก็เป็นประเด็นปลีกย่อยที่แม้จะไม่พบความถี่มากนักแต่ก็ยังอยากบันทึกไว้ในที่นี้ เช่น ...
· เป็นคณะใหม่และคณะเดียวในประเทศไทย
· ไม่ชอบความวุ่นวายของสังคมเมือง เลยเลือกเรียนในโซนภูมิภาค
· ชอบเรื่องประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรม และศิลปะแขนงต่างๆ
· อยากรู้เรื่องมรดกโลก และอารายธรรมของโลก
· อยากเรียนรู้และอนุรักษ์อาชีพพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น
· เป็นคณะที่มีชื่อเสียงในระดับต้นๆ ของภาคอีสาน
· มีหมอลำสมัครเล่นและหมอลำอาชีพมาเรียนจำนวนมาก เลยอยากมาเรียนรู้ร่วมกันกับคนที่เป็นหมอลำ
เรียนจบไปแล้วทำอะไร (อาชีพในอนาคต)
เกือบร้อยทั้งร้อยใฝ่ฝันอยากเป็นนักวิชาการด้านวัฒนธรรม โดยทำงานในส่วนราชการและเอกชน ที่มีทั้งการเป็นครูในโรงเรียนและอาจารย์ในมหาวิยาลัย เพื่อถ่ายทอดความรู้ในมิติประวัติศาสตร์ ประเพณีและวัฒนธรรม และการประกอบอาชีพอิสระบนฐานความรู้ทางวัฒนธรรม อาทิ ร้านจัดดอกไม้ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
และที่เหลือก็เป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้
· นักพัฒนาสังคม หรือการเข้าทำงานในสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด
· จัดตั้งวงกลองยาวในหมู่บ้าน
· พัฒนาชุมชนภูไทของตนเอง
· ทำงานในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
ความประทับใจในคณะ/มหาวิทยาลัย
ในประเด็นนี้ผมให้นิสิตไม่สะท้อนมาคนละไม่เกิน 3 ประเด็น เปิดกว้างได้ทั้งที่เป็นสถานที่ บุคคล กิจกรรมและอื่นๆ ที่นิสิตพบเจอและสัมผัสได้จากการเข้ามาใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งหลักๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่
ถัดมาจะเป็นความประทับใจในเรื่องอาคารเรียนของคณะ มีอาหารหลากหลายให้เลือกรับประทานใน “ตลาดน้อย” รวมถึงกิจกรรมที่ประทับใจ เช่น ประชุมเชียร์ ตรวจร่างกาย
นอกจากนั้นก็เป็นประเด็นอื่นๆ อาทิเช่น
· ใกล้บ้าน
· ค่าใช้จ่ายไม่สูงเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ
· ตราโรจนากร
· มีคนหน้าตาดี มีเสน่ห์
· มีรถรางให้บริการ
· มีหอพักที่ดีในมหาวิทยาลัย
ศักยภาพ/ความสามารถพิเศษ/ความโดดเด่นเฉพาะตัว
ประเด็นนี้ ดูเหมือนจะมีความหลากหลาย แทบจะเรียกได้ว่ามีความถี่เหมือนกันไม่มากนักก็ว่าได้ แต่ที่พบตรงกันมากที่สุดเป็นเรื่องมนุษยสัมพันธ์ และบุคลิกภาพในแบบตลก ขี้เล่น ร่าเริง ไม่ถือตัว รวมถึงจิตอาสา และทักษะทางศิลปะหัตกรรมไทย อาทิ ใบตอง ผ้า ทอผ้า เลี้ยงไหม
หรือแม้แต่ประเด็นทักษะอันเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรม หรือศิลปะแขนงต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการตีกลองร้องเต้น เช่น กลองยาว ฟ้อนรำ ร้องเพลง
นอกจากนั้นก็เป็นประเด็นทั่วไปที่แต่ละคนสะท้อนอัตลักษณ์ตัวเอง เช่น พูดจาฉะฉาน โกรธง่ายหายเร็ว กินหมาก (เคี้ยวหมาก) สวดมนต์หมู่ วาทศิลป์ (พิธีกร) เรียนรู้รวดเร็ว กินง่ายอยู่ง่าย ใส่ใจคนรอบข้าง-แคร์สังคม คิดสร้างสรรค์ มองโลกในแง่ดี
และอื่นๆ เช่น
· จัดตกแต่งสถานที่
· เล่นกีฬา เช่น บาสเกตบอล
· ใจร้อน
· ผมยาว
· หน้าตาเหมือนคนแก่
· รู้เป้าหมายตนเอง
ทั้งปวงนี้คือประเด็นที่ผมประมวลมาจากสิ่งที่นิสิตใหม่ได้สื่อสารลงในกระบวนการ “ตาราง 4 ช่อง” ซึ่งผมไม่วิพากษ์ว่าผิดหรือถูก ล้าหลัง หรือร่วมสมัย แต่ยืนยันว่าให้ความสำคัญกับ “ข้อมูล” เหล่านี้อย่างมหาศาล
แต่ที่แน่ๆ ภายใต้เวลาอันจำกัดนั้น ผมย้ำแนวคิดอันเป็นมุมมองของผมอย่างชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของนิสิตคณะวัฒนธรรมประมาณว่า
ใช่ครับ – ผมมองแบบนั้น เพราะอยากให้นิสิตรักและเชื่อมั่นในการนำองค์ความรู้ในทางวิชาชีพ (กิจกรรมในหลักสูตร : Hard skills) ไปบูรณาการกับกิจกรรมนอกหลักสูตรเพื่อก่อให้เกิดพลังแห่งทักษะที่เรียกว่า Soft skills ที่มีเป้าหมายปลายฝันด้วยการ “เก่ง ดี มีความสุข”
ก็ประมาณนี้ครับ การบรรยายกึ่งกระบวนการในห้วงเวลา 1 ชั่วโมง หรือการล่วงเวลาไปอีกนิดหน่อย ซึ่งผมก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แถมเป็นห้วงเวลาที่ผมก็ป่วยไข้ด้วยเหมือนกัน กระนั้นก็ยืนยันว่าเต็มที่แล้ว
ส่วนจะบันเทิงเริงปัญญาหรือไม่นั้น ต้องไปดูแบบประเมินการจัดกิจกรรมกับทางคณะอีกรอบ
เขียน : พุธที่ 22 สิงหาคม 2561
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา / คณะวัฒนธรรมศาสตร์
มี “รู้จักฉัน รู้จักเธอ” ไหมครับ ;)…
เวทีนี้ไม่มี รู้จักฉันรู้จักเธอ ครับเวทีก่อนๆ ถ้าจะมีก็ทีมงานครัยที่รันกระบวนการ ผมนั่งดูนั่งประเมิน
มีที่แม่ฮ่องสอนนั่นแหละครัยที่ผม “คืนเวทีในกระบวนการนี้”…5555
พวกเราเชื่อมั่นในศักยภาพของ “คุณแผ่นดิน” ไงล่ะครับ
“รู้จักฉัน รู้จักเธอ” จึงมาเกิดอยู่ยังจังหวัดตอนเหนือของประเทศไทย ;)…
-สวัสดีครับอาจารย์-คณะวิชาที่ไม่คุ้นหู แต่มีการจัดการเรียนการสอนที่น่าชื่นชม-คณะเดียวในประเทศ….-เรียนอย่างไรให้มีความสุข คือเหตุผล-เพียงได้อ่านเรื่องราวก็”สุขใจ”กับการส่งต่อวัฒนธรรมดี ดี เช่นนี้ครับ-ขอบคุณครับ
๑ ชั่วโมง จำนวนคนขนาดนี้ สรุปได้คมชัด “เทพ” มากนะคะ ^_,^
ครับ อ.Wasawat Deemarn
รู้จักฉันรู็จักเธเกิดขึ้น “ทางเหนือ : ล้านนา” มันคือพรหมลิขิต หรือชะตากรรมของผมเอง… 555
ครับ อ.เพชรน้ำหนึ่ง
ผมเชื่อเช่นกันว่า ความสุขกับการเรียนรู้ คือปัจจัยหลักของความสำเร็จ -และเรียนแล้วได้ใช้จริงในชีวิต คือสิ่งวิเศษสุดของการเรียนรู้และการมีชีวิตของคนเรา
นั่นคือสิ่งที่ผม เชื่อเสมอมาครับ
ครับ พี่หมอ ธิ
ขอบพระคุณสำหรับคำชม นะครับสารภาพว่าเวลาจำกัดจริงๆ เหมาะกับการบรรยายเสียมากกว่า แต่ก็พยายามบูรณาการระหว่างการบรรยายและกระบวนการ
ท้าทายดี เหมือนกันครับ