ตือฮวนกับขยะติดเชื้อ เอ๊ะ..


“พ่อ จ้าอยากกินตือฮวน”

จ้าบอกแบบนี้มาหลายครั้งในแทบจะทุกเช้าวันอาทิตย์ แต่เราก็พลาดหวังทุกทีกับตือฮวนร้านโปรด เพราะร้านที่ได้รับการรีวิวดีๆ ก็มักจะกลายเป็นร้านที่พลุกพล่าน สาวก (หรือเรียกง่ายๆอีกชื่อว่า ทาสรีวิวเว่อร์) มักจะมารอและแย่งกันกินอย่างบ้าคลั่ง ผมแทบจะไม่ได้มากินตือฮวนร้านของเจ๊เช็งมานานมากก็ด้วยสาเหตุนี้กระมัง 

หรือนี่คือร้านอาหารเช้าของชาวมาเลย์และสิงคโปร์ 

แล้วเราก็พลาดหวังไปเสียทุกครั้ง

แต่วันนี้ผมสวดมนต์ในใจก่อนออกจากบ้าน จะต้องกินให้ได้ ถึงคิวยาวก็จะยืนรอ (แต่เอิ่ม...คนที่มากินส่วนมาก แม่ง ดันไม่มีคิวเสียนี่ พี่มันเล่นเดินทะลวงเข้าไปตลอดจนคนท้องถิ่นอย่างผมต้องล่าถอยถอดใจทุกที) บอกเทวดาส่วนตัวให้ไปเคลียร์ที่ให้เรียบร้อย “วันนี้ผมจะต้องได้กิน” ผมบอกกับเธอ

“จ้า พ่อมีข่าวดีจะบอก” ผมโทรไปหาไอ้ตัวเล็กปลายสาย ที่เพิ่งเสร็จภาระกิจการตีเทนนิส

“พ่อได้โต๊ะที่ร้านตือฮวนแล้ว บอกแม่ให้รีบๆมาได้เลย” ผมแอบจินตนาการถึงดวงตาลูกโตที่มักจะเลิกคิ้วขึ้นและทำตาลุกวาวเมื่อกำลังดีใจ เฉกเช่นตอนนี้

ผมสั่งหมูกรอบมา ๓ จาน ตือฮวนที่ใส่เฉพาะผักกาดและเลือด ๑ ชาม และข้าวสวย

“จ้าขอบกินกับน้ำจิ้มฝีมือแม่” เธอกำลังสาธยายถึงน้ำส้มที่ถูกผสมด้วยน้ำตาลทรายและพริกป่น ว่าแล้วก็จ้วงข้าวสวยร้อนๆเข้าปาก 

ผมนี่แสนสุขใจเลย

.......................

มานั่งนึกๆดู ทำไมผมและครอบครัวจึงต้องไปกินตือฮวนที่ร้านนี้

คำตอบคือ มันอร่อย

แล้วทำไมมันอร่อย

ก็เพราะเขาทำมันอร่อย เขาปรุงอาหารสูตรนี้มานาน นานหลายปีจนเรียกได้ว่า มันคือ competency ของร้านนั่นเอง

เจ้า competency นี่สำคัญ เพราะมันทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างดีและมีความสุข (มั้ย) เพราะเราจะเก่งที่สุดในงานที่ทำ

ที่ผมเขียนพร้ำเพ้อพรรณามาเสียยืดยาว เพราะอยู่ๆก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

.................

เมื่อครั้งที่ต้องมารับหน้าที่เป็นผู้ร่วมบริหารโรงพยาบาลเมื่อหลายปีก่อนนู้น งานแรกที่ทำให้ผมเกิดความหนักใจอย่างมากก็คือ “การกำจัดขยะติดเชื้อ”

ก่อนหน้านั้น ขยะติดเชื้อจะถูกนำไปกำจัดโดยเทศบาล เค้ามีโรงเผาอยู่แถวทางไปสนามบิน โรงพยาบาลต้องเสียเงินค่าจัดการขยะกลุ่มนี้ตามน้ำหนักของขยะ เรียกกันว่า ชั่งกันเป็นกิโลเลยทีเดียวเชียว

แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เทศบาลก็มาบอกว่า “โรงเผาขยะพังแล้ว” โรงพยาบาลต้องหาทางจัดการขยะติดเชื้อกันเอาเอง

อ้าว..แล้วไงล่ะครับ แล้วขยะติดเชื้อจากโรงพยาบาลมันจะถูกจัดการอย่างไร ในเมื่อเราก็ยังคงผ่าตัดกันอยู่ทุกวัน ผ้าก๊อซเปื้อนเลือดก็ปริมาณมหาศาล เราทำแผล เราตัดไหม เราดูเสมหะ เรา..ฯลฯ เอาเป็นว่า มันเยอะ

ทีมผู้บริหารยุคก่อนหน้าเค้าเจอโจทย์นี้มาก่อนผม เลยได้จัดการก่อนหมดวาระโดยมีบริษัทแห่งหนึ่ง มาเสนอวิธีจัดการขยะติดเชื้อโดยการนึ่งขยะให้สุก แล้วค่อยนำขยะสุกแล้วเหล่านั้นไปฝังกลบต่อไปแบบขยะปกติที่ไม่มีเชื้อโรคจากโรงพยาบาลตกค้างออกไปด้วย เขาเสนอการบริการเป็นการรับจัดการแบบเช่าพื้นที่ตั้งเครื่องนึ่ง และโรงพยาบาลก็จ่ายเงินค่าจัดการขยะไปแบบเดิม

แต่เมื่อผมเข้ามารับช่วงบริหารต่อก็พบว่า บริษัทนั้นยังไม่สามารถเข้ามาติดตั้งเครื่องนึ่งได้ มันมีปัญหาอะไรสักอย่างและกำลังใกล้จะหมดสิ้นสัญญา เราจึงต้องรีบประชุมเพื่อหาวิธีจัดการขยะเจ้าปัญหานี้ 

ผมจำได้ว่า ในที่ประชุมครั้งนั้นมีคนเสนอขึ้นมาว่า “ทำไมโรงพยาบาลไม่สร้างโรงเผาขยะขึ้นมาเองเสียเลย” เออ..แฮะ ฟังดูเข้าที แต่ป๋าขจรศักดิ์ เจ้าพ่อการควบคุมการติดเชื้อของโรงพยาบาลแย้งขึ้นมากลางที่ประชุมว่า “ไม่เห็นด้วย เราไม่เก่งเรื่องนั้น มันไม่ใช่ competency ของโรงพยาบาล สร้างขึ้นมา ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นโรงเผาร้างเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ หน้าที่พวกเราคือรักษาคนไข้  เรารักษาคนไข้เก่งคือ competency ของพวกเรา การจัดการขยะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เราจัดการการใช้ จัดการการทิ้งให้ดี แล้วส่งต่อขยะออกไปให้คนที่เก่งกว่ารับช่วงไปต่อ” 

ตอนนั้นผมก็ยังโง่ๆอยู่ (ตอนนี้น่ะเหรอ โง่ชิ้บหายเลยล่ะ) จึงฟังๆและเออออห่อหมกไปด้วย

และท้ายที่สุด เราจึงมีทางออกที่แสนจะง่าย นั่นคือการจ้างบริษัทเอกชนที่จดทะเบียนการกำจัดขยะติดเชื้อมารับขยะไปเผานั่นเอง 

เห็นไหม เราต้องใช้บริการคนที่มี competency เรื่องการกำจัดขยะติดเชื้อสิ

ผมจำได้ว่า ตอนนั้นมีอยู่ ๓ เจ้าที่มาร่วมประมูล และเราก็ได้มาเจ้าหนึ่งที่ปรากฏว่า ราคาที่ได้มานั้น มันถูกกว่าที่เคยส่งให้ทางเทศบาลเป็นเท่าตัว และที่สำคัญ มันยังถูกกว่าราคาที่เราจะต้องจ่ายให้บริษัทที่ทำสัญญาหม้อนึ่งขยะนั้นเสียอีกด้วย

แล้วจะทำยังไงดีวะ (บอกตามตรง ตอนนั้นผมสวดมนต์ให้เขามาทำงานไม่ทัน จะได้ไม่ต้องติดตั้งตามสัญญาไง ฮ่าฮ่า เลวไหม) 

แต่เขาก็มา และทางเราก็ต้องต่อรองใหม่ ในเมื่อราคาต่อกิโลกรัมมันแพงกว่าจ้างบริษัทเผา ดังนั้น หากเราจะให้เขามารับจัดการเราจะจ่ายแพงกว่าในทันที

“ซื้อขาด” คือทางออก เราจะซื้อเครื่องนึ่งที่เขานำเข้ามา ติดตั้ง แล้วนึ่งเอง ส่งฝังกลบเอง บวกลบคูณหารกันแล้ว เราจัดการเองได้ในราคาที่ถูกกว่าแน่ๆ

ยังครับ ยังไม่จบ

มีเครื่องนึ่ง ก็ไม่ใช่จะจัดการได้ เรายังต้องทดสอบระบบ ต้องจัดการให้ได้ตามกฏกระทรวงอุตสาหกรรม เราต้องยืนยันให้ได้ ว่าขยะของเราสุกและปลอดเชื้อโรคจริงๆ โดยการใส่หลอดทดสอบการมีเชื้อ bacillus stearothermophilus เข้าไปในจุดที่ลึกที่สุดของขยะแล้วเปิดระบบการนึ่ง จนเมื่อทีมนักจัดการขยะของผมทำการทดสอบจนแน่ใจแล้ว ระบบมันเสถียร มันปลอดเชื้อทุกครั้ง จึงได้ยื่นขอใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แล้วเราก็นึ่งขยะมาตั้งแต่นั้น

ผมยังเห็นภาพตัวเองในช่วงนั้น ที่ต้องเดินลงไปดูการทดสอบระบบแทบจะทุกวัน ผมมีทีมงานที่สุดยอดคนหนึ่ง คือ “ซุปเปอร์แมน” นายคนนี้เป็นคนงานของหน่วยงานเรา เขารับหน้าที่ที่สำคัญนี้ และนายคนนี้แหละที่ผมยืนยันว่า เขาเป็นคนหน้างานที่เรียนรู้เร็วและเก่งมากคนหนึ่ง

ในการทดสอบวันหนึ่ง ผมบอกให้น้ำชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยามานึ่งดู

“ได้เป็นบางส่วนนะครับอาจารย์ พวกที่ติดกระดูกจะไม่นึ่งครับ” เขาบอก

“ทำไมล่ะ” ผมยังไม่เข้าใจ

“เนื้อแบบนั้น จะส่งเผาเลยทีเดียวครับ ฝังกลบไม่ได้ คนเขาจะแตกตื่น” 

“เออ จริงว่ะ” ผมเริ่มเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด

“งั้นก็เอาส่วนที่เหลือใส่ไปนึ่ง” ผมบอก และสังเกตเห็นเขายิ้มเล็กน้อย และก็ตอบว่าได้ครับ

ครั้นได้เวลาเปิดเตานึ่งในวันนั้น ผมนี่แสบตาสุดชีวิต เพราะไอระเหยของฟอร์มาลีนมันฟุ้งออกมาทั้งดุ้น

เขาดึงถังขยะออกมาจากตู้นึ่ง ผมก้มมองดูลงไปในทันทีที่หายแสบตา

“แหม่ ยังกะเนื้อตุ๋นเลยนะ” ผมรำพึง เพราะภาพที่เห็นตรงหน้า มันคือ ชิ้นส่วนของเนื้อผสมกับน้ำที่ถูกนึ่งจนสุก มีไขมันลอยเยิ้มอยู่ที่ผิวหม้อ เอ้ย ถังใส่ขยะ ครั้นกลิ่นฟอร์มาลีนหายไป กลิ่นกับข้าวบนเหลาก็ลอยมาติดจมูกแทน (ขำ นี่ฉันกำลังกินตือฮวนอยู่นะ)

“กลิ่นแบบนี้แหละอาจารย์ เนื้อกับเลือด เวลาสุกก็แทบไม่ต่างจากกลิ่นกับข้าวบ้านเรา” อุย..ผมนึกไม่ทัน ว่าจะกลืนน้ำลายหรือไปบ้วนทิ้งดีจึงอมไว้ก่อน

“ผมปิดระบบระบายน้ำไว้นะครับอาจารย์” เขาบอกมา และผมก็ขมวดคิ้วสงสัยอีกรอบ

“ผมเข้าใจว่า หากผมเปิดระบบระบายน้ำ ฟอร์มาลีนเหล่านี้ก็จะลงไปผสมกับน้ำในบ่อบำบัดของเรา มันจะทำให้เชื้อโรคตายหมด น้ำก็จะเสียระบบนิเวศน์ครับ ไหนจะปลาตายอีกนะครับอาจารย์” เขาเล่าแนวคิดออกมาเป็นฉากๆ

“โห จริงว่ะ นายนี่มันซุปเปอร์แมนชัดๆ” ผมนี่แทบจะกระโดดกอดเขาเลย ติดอยู่ที่ว่า เอี๊ยมที่เขาใส่อยู่นั้น มันเอือดเต็มทน ไม่ไหว ไม่ไหว

เรื่องขยะนี่ยังมีอะไรให้เขียนอีกเยอะ ครับ แต่จะหยุดแค่นี้ เพราะเพียงแค่เรื่องขยะๆ แต่มันกลับมีเรื่องราวแปลกๆที่ไม่แค่ขยะ มันมีเรื่องตลกๆ เรื่องการทิ้ง การฝังกลบ การเผา ความเชื่อ และการเมืองขยะๆ ซ่อนอยู่อีกมากมาย

ผมแค่เกิดอาการอิ่มใจไปกับการได้กินตือฮวนเจ้าอร่อย ที่เขามี competency กับการทำตือฮวนและหมูกรอบเท่านั้น นั่นคือความสำเร็จในหน้าที่ของร้าน

ผมเพียงแค่เข้าใจ ว่าโรงพยาบาลไม่ได้มี competency ด้านการเผาหรือกลบขยะ แต่เรามี competency ด้านการคัดแยกขยะอย่างดี ไม่ใช่แค่ดี แต่โคตรดี

ผมเพียงแต่ได้ค้นพบว่า เพียงคนงานเล็กๆคนหนึ่ง เขากลับมี competency ด้านขยะ จนสามารถแยกแยะได้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควรทำที่เกี่ยวกับขยะที่อยู่ตรงหน้า เก่งในชนิดที่ผมเองก็ยังนึกไม่ถึง (เรียกว่าโคตรโง่ได้เลย) และเมื่อนึกถึงเขาคนนั้น เราต้องเดินไปดูที่หน้างานครับ แล้วเราก็จะมีโอกาสได้เจอกับซุปเปอร์แมนเหล่านี้ฝังตัวอยู่มากมายในที่ทำงานของเรา

..................

ผมขอข้าวเพิ่มอีกถ้วย เพราะน้ำแกงตือฮวนยังเหลืออยู่พอประมาณ แบ่งข้าวให้จ้าเสี้ยวหนึ่ง 

ตักน้ำซุปยกขึ้นมาซด 

“พรูดดดดด” พอเบาๆ พอได้รับกับอารมณ์ มันอร่อยเสียจริง

ผมตักผักกาดเกี่ยมฉ่ายขึ้นมาเคี้ยว โอว..มันนุ่ม เค็มๆกำลังพอดี ไตผมยังไม่น่าจะพังจากผักคำนี้

แล้วผมก็ตักเลือดเข้าปาก แล้วเคี้ยวไป

โอว.....

พลัน ผมก็นึกถึงนายซุปเปอร์แมนและเนื้อนึ่งในวันนั้น

โคตรอร่อย

ธนพันธ์ ชูบุญซึ่งจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มี competency อะไรเด่นไปกว่าการทำแท้งฮ่าฮ่าฮ่า ล้อเล่นนนนน

๒๒ กค ๖๑

 

หมายเลขบันทึก: 649124เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2018 16:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม 2018 16:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท