วันนี้ (วันที่ 18 พฤษภาคม 2561) คือวันอันสำคัญในเส้นทางของการพัฒนานิสิต หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการในเชิงนโยบายว่าโครงการ “วันกิจกรรมพัฒนานิสิต (กิจกรรมนอกหลักสูตร) ครั้งที่ 2”
ขณะที่องค์กรนิสิต หรือสภานิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เรียกอีกชื่อว่าโครงการ “วันวิชาการกิจการนิสิต (กิจกรรมนอกหลักสูตร) ครั้งที่ 2”
โดยหลักๆ แล้ว กิจกรรมวันดังกล่าวมุ่งเน้นให้ผู้นำองค์กรนิสิต (สภานิสิต องค์การนิสิต สโมสรนิสิต ชมรมและกลุ่มนิสิต) ได้นำเสนอผลการเรียนรู้ด้านกิจกรรมนิสิต ประจำปีการศึกษา 2560 ผ่านรูปแบบของแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในมหกรรม Show & Share โดยใช้ระบบและกลไกของการจัดการความรู้เป็นหัวใจหลัก เป็นต้นว่า
การออกแบบกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผมไม่ได้จำกัดกรอบอยู่แต่เฉพาะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนิสิต/ผู้นำองค์กรนิสิตกับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ หรือนิสิตกับนิสิตเท่านั้น แต่ให้ความสำคัญต่อการสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างนิสิตปัจจุบันกับศิษย์เก่า
ด้วยเหตุนี้ ในปีการศึกษา 2560 ผมจึงลงมือคัดกรองศิษย์เก่าในวิถี “นักกิจกรรม” มาเป็นวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จำนวน 4 คน ที่เหลือก็เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและนักวิชาการจากสถาบันอุดมศึกษาอันเป็นเครือข่ายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ –
ใช่ครับ – ศิษย์เก่าแต่ละคนที่ผมเรียนเชิญมา ผมให้ความสำคัญกับ “ตัวตนบนถนนสายกิจกรรม” มากเป็นพิเศษ เพราะจะได้เข้าใจ “หัวอก” ของนิสิตที่ทำกิจกรรม เข้าใจ “วัฒนธรรม” หรือ “บริบทของนิสิตและมหาวิทยาลัย”
แน่นอนครับ แม้ดูจะแตกต่างกันตรงยุคสมัยอยู่บ้าง กระนั้นผมก็เชื่อว่าวันนั้นของศิษย์เก่ากับวันนี้ของศิษย์ปัจจุบันไม่ใช่อุปสรรคที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันได้ เพราะศาสตร์อันแท้จริงของการทำกิจกรรมยังคงร่วมสมัยอยู่อย่างไม่รู้จบ เพราะเป็นมิติของ “จิตอาสา” หรือ “อาสาสมัคร”
และถึงแม้จะเชื่อเช่นนั้น ผมก็ไม่ละลายที่จะเตรียมการล่วงหน้าในบางกระบวนการ เป็นต้นว่าโดยก่อนเริ่มงาน ผมได้พบปะนอกรอบกับบรรดาศิษย์เก่า เพื่อปรับแต่งความเข้าใจต่อเป้าหมายของการจัดงาน รวมถึงการขอความร่วมมือให้ศิษย์เก่าได้เน้นกระบวนการ “เสริมพลัง-หนุนเสริม” เพื่อก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำกิจกรรม มากกว่าการ “บดทับ” จนน้องๆ นิสิตที่เป็นศิษย์ปัจจุบันหวั่นหวาดต่อการ “เดินต่อ”
เช่นเดียวกับการเชื้อเชิญให้ศิษย์เก่าได้ส่งข้อเขียนมาจัดพิมพ์ในหนังสือเรียนนอกฤดู ภาคพิเศษ เล่มที่ 9 ซึ่งผมจัดทำขึ้นเป็นหนังสืออ่านเล่นในวิถีของกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือจะเรียกว่าเป็นหนังสือที่ระลึกในงานวันกิจกรรมพัฒนานิสิตก็ไม่ผิด
และครั้งนี้ก็มีศิษย์เก่า 3-4 ท่านให้ความอนุเคราะห์ส่งเรื่องราวมาจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มร่วมกัน หนึ่งในนั้นก็เป็นงานเขียนของอาจารย์ณัฐพงษ์ ราชมี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ซึ่งข้อเขียนที่ว่านั้นแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ที่เขียนในลักษณะของ “เรื่องเล่า” แต่อาจารย์ฯ เขียนเป็น “ผญา”
50 ปี มมส กับ ชุมชน
พี่น้องเอย นับตั้งแต่ก่อตั้ง
ทุกบาดย่างบ่เคยปะ ละผ่านมากึ่งศตวรรษแล้ว
ฮักแพงปานตาแก้ว เหลียวแนมบ่เคยหล่า
หาแต่แนวชุกยู้ ชูให้ดั่งประสงค์
*
ยังคงดำรงไว้ บ่ให้ไรลืมค่า
ปรัชญา “ผู้มีปัญญาพึ่งเป็นอยู่เพื่อมหาชน” นี้
ประเพณีบ่เคยถิ่ม ฮีตคองบ่เคยห่าง
ย่างนำกันทุกบาดก้าว เสมอต้นดั่งเดิม
**
มหาวิทยาลัยก่อรูป ชุมชนกะสานต่อ
ถักทองานเสร็จก้าว ชีวีล้ำทุกประการ
หนึ่งหลักสูตรหนึ่งหมู่บ้าน สานต่อบ่เคยปะ
ละปัญหาล่วงได้ เจริญขึ้นดีหลาย
***
งานวิจัยกะเด่นแท้ แลเบิ่งชุมชน
เฮ็ดให้คนเป็นคน เสมอกันทุกด้าน
พันธกิจยึดชาวบ้าน พัฒนาท้องถิ่น
ปั้นจากดินให้ เด่นได้เสมอดาว
****
คราววาระ ห้าสิบปีผ่านพ้น
มมส กับชุมชน แสนสิเมื่อยกะตามซ่าง
ศรีวิไลย์ สี่จุดศูนย์ยุข้างหน้า
สิพากันเกี่ยวก้อย เดินหน้าต่อไป แท้แล้ว พี่น้องเอย
*****
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเรียกอาจารย์ณัฐพงษ์ ราชมี ว่า “ต่อ” หรือ “อาจารย์ต่อ” เสมอมา -
ในสมัยเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อาจารย์ต่อฯ เรียกได้ว่าเป็น “นักเลงกิจกรรม” อีกคนหนึ่งเลยทีเดียว ประวัติศาสตร์ หรือวีรกรรมยืดยาวเป็นหางว่าว โดยเฉพาะในวิถีของจิตอาสา และมุมมองที่มีต่อระบบและกลไกการบริหารมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง เจ้าตัวก็ดุ่มเดินออกมาแสดงทัศนะอย่างตรงไปตรงมา
และหลายต่อหลายครั้ง เดือดร้อนผมต้องเข้าไปชวนพูดชวนคุย ปะปุปะทะทางความคิดกันเป็นยกๆ แต่สัมผัสได้ว่า ต่อ หรือ อาจารย์ต่อจะมีตรรกะความเป็นวิชาการในตัวที่พูดและคุยกันแล้ว “รู้เรื่อง” อยู่มากโข เมื่อเทียบกับคนอื่น หรืออย่างน้อยก็ชัดเจนไม่อำพรางว่า “เห็นด้วย” หรือ “เห็นต่าง”
นี่คือส่วนหนึ่งที่ผมเรียกว่า “นักเลงกิจกรรม”
อาจารย์ต่อฯ เป็นศิษย์เก่า “มมส” ในรุ่นภุมริน 8
ผมและอาจารย์ต่อฯ เคยได้ร่วมงานกันหลายงาน งานนอกระบบก็เป็นการเกี่ยวข้าวช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมโคลนถล่มที่อุตรดิตถ์ ซึ่งยุคนั้นเรียกกันว่า “หนีเรียนไปเกี่ยวข้าว”
https://www.gotoknow.org/posts...
กรณี "หนีเรียนไปเกี่ยวข้าาว" อาจารย์ต่อฯ บอกกับผมว่าแกไม่ใช่แกนหลักของงานนี้ เป็นทีมงานที่ร่วมอุดมการณ์กับเพื่อนๆ และเครือข่ายภายนอกอีกหลายภาคส่วน แต่ด้วยความที่แกรู้ว่าผมก็ชอบงานจิตอาสาและเป็นคนที่อยู่ในระบบแต่ไม่ใช่ประเภทจมในระบบเสียทั้งหมด จึงนำเรื่องรามาเล่าสู่กันฟัง จนนำพาผมเข้าสู่งานนั้นร่วมกับทีมงานที่ขับเคลื่อนมาก่อนหน้านี้ ซึ่งผมก็นำเรื่องที่ว่านั้นเข้าระบบ พร้อมๆ กับจัดหางบประมาณเข้าหนุนเสริมจำนวนหนึ่งเพื่อนำข้าวเปลือกจำนวน 200 กระสอบไปส่งให้กับชาวกิ่วเคียน –อุตรดิตถ์
เช่นเดียวกับการทายทักว่าแกจะสามารถเรียนสูงๆ แล้วเข้ามาอยู่ในระบบอุดมศึกษาได้ เพราะมีกลิ่นอายความเป็นวิชาการอยู่ในตัว หรืออย่างน้อยก็มีความเข้าใจระบบราชการอยู่บ้าง เพราะเคยผ่านงานผู้นำองค์กรนิสิตในยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำความเข้าใจและปรับตัวกับระบบได้
และสมมุติฐานที่ผมว่าก็เป็นจริง เนื่องเพราะวันนี้ อาจารย์ต่อเป็นอาจารย์สังกัดคณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ทำหน้าที่การสอนควบคู่ไปกับการพาลูกศิษย์ลูกหาตะลอนเลาะทำงานจิตอาสาเป็นระยะๆ อย่างไม่ขาดห้วง
ล่าสุดก็เคยได้เกาะเกี่ยวกันลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดร่วมกัน ซึ่งผมและน้องๆ นิสิตก็ได้อาจารย์ต่อฯ นี่แหละเป็นโหนดประสานงาน หนุนเสริมให้งานจิตอาสาที่ว่านั้นก่อเกิดมรรคผลเป็นรูปธรรม และอาจารย์ต่อฯ พร้อมลูกศิษย์ก็ขันอาสาเป็นเรี่ยวแรงลุยงานร่วมกันอย่างไม่อิดออด ทะลุกำแพงระหว่างสถาบันไปอย่างน่าชื่นชม
ครับ – ผมคงไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวเชิงประวัติของอาจารย์ต่อฯ ได้ทั้งหมด หรือเชิงลึกไปมากกว่านี้ เพียงแต่ยืนยันว่าการเชื้อเชิญใครสักคนมาร่วมเวทีนั้น ผมมีเหตุผลและนัยสำคัญเสมอ มิใช่หลับหูหลับตาชักลากมาแบบไร้เรื่องราว ไร้ตัวตน
แน่นอนครับ – ผมเชื่อว่าใครทุกคนไม่ต่างจากตู้วรรณกรรมเคลื่อนที่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเปิดใจเรียนรู้เรื่องราวของใครเหล่านั้นแค่ไหน สำหรับผมแล้ว ผมดีใจที่อาจารย์ต่อ กลับมายังมหาวิทยาลัยมหาสารคามอีกครั้งในฐานะศิษย์เก่า หรือ “นักเลงกิจกรรม”
ขอบคุณครับ
หมายเหตุ
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา / งานประชาสัมพันธ์ฯ กองกิจการนิสิต / นิสิตจิตอาสา
เขียน : 22 มิถุนายน 2561
สวัสดีครับ อาจารย์ ดร.ขจิต
ระยะหลังกิจกรรมเชิงวิชาการ กลายเป็นกลไกสำคัญที่เราเชิญศิษย์เก่ากลับมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับศิษย์ปัจจุบันรวมถึงการบอกเล่าประสบการณ์สู่กันฟัง เสมอเหมือนการชื่อมประวัติศาสตร์สองยุคเข้ามาหากัน...
เขียนผญาขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ... น้อง ๆ มมส.รุ่นใหม่คงได้ซึมซับแนวคิดลิขิตจากใจ ผสานอย่างไม่ทิ้งรากความเป็นนักกิจกรรม ต่างบริบทเดิมบ้าง แต่แก่นเพื่อสังคมไม่ได้หายไปไหน
น้อง ๆ นักเลงกิจกรรมรุ่นใหม่ เดินหน้าต่อไป ^_,^
สวัสดีครับ พี่หมอธิ
ใช่ครับ บริบทต่างยุคสมัย แต่ฐานใจเชื่อมโยงกัได้จริงๆ โดยเฉพาะฐานใจจากคนที่ทำกิจกรรมนิสิตด้วยกัน ยิ่งเข้าใจและเห็นใจ หรือหนุนเสริมกันได้อย่างดีครับ เพราะเหมือนคนบ้านเดียวกัน หนุนเสริมกัน -
ขอบพระคุณครับ