หนังสือ Thanks for the Feedback : The Science and Art of Receiving Feedback Well (2014) เขียนโดย Douglas Stone Sheila Heen มีคุณค่าสูงยิ่งต่อผู้ที่ต้องการปรับปรุง หรือพัฒนาตนเอง
คำแนะนำป้อนกลับ (feedback) มี ๓ แบบ ใช้ในต่างสถานการณ์ ต่างเป้าหมาย ต้องใช้ให้ถูก ใช้เป็น ไม่ใช้ผิดแบบ ผิดสถานการณ์ และผมขอเติมว่า ต้องให้คำแนะนำป้อนกลับเพื่อประโยชน์ของตัวผู้รับเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่เพื่อสนองอารมณ์ของผู้ให้
ยามท้อถอยหรือหมดกำลังใจ คำแนะนำป้อนกลับที่ดีคือการชื่นชม ให้กำลังใจ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานกำลังเผชิญความท้าทายหรือยากลำบาก คำแนะนำป้อนกลับที่ต้องการคือแนะวิธี ชี้จุดที่ต้องแก้ไข และหากกำลังไต่บันไดดาราเพื่อเป็นแชมเปี้ยนหรือเป็นที่ ๑ ซึ่งคนที่เป็นคู่แข่งมีคะแนน ๙๕ หากตัวเราได้รับผลการประเมินว่าคะแนนอยู่ที่ ๙๐ ผลการประเมินนี้บอกเราว่าต้องพัฒนาขึ้นอย่างน้อย ๖ คะแนนจึงจะชนะ หรืออาจต้องพัฒนามากกว่านั้น เพราะแชมเปี้ยนเขาก็ตั้งหน้าตั้งตายกระดับคะแนนของเขาเหมือนกัน
แต่ละคนต้องรู้จักแยกแยะชนิดของคำแนะนำป้อนกลับที่ต้องการในแต่ละสถานการณ์ และผมเพิ่มความเห็นส่วนตัวว่า เราต้องรู้จักเปลี่ยนคำแนะนำป้อนกลับที่ฟังเผินๆ เป็นลบ (เช่นโดนหัวหน้า หรืออาจารย์ดุ) ให้ก่อคุณค่าเชิงบวกต่อตัวเรา (แปลงให้เป็นโค้ชชิ่ง)
คำแนะนำป้อนกลับที่ไม่ชัด เราก็ต้องรู้จักทำให้ชัด จากคำด่า ทำให้เป็นคำแนะนำที่ชัดเจน เช่น “คุณเป็นคนขับรถที่ประมาท” เปลี่ยนเป็น “คุณไม่ควรพูดโทรศัพท์ขณะขับรถ”
คำแนะนำป้อนกลับที่มีคุณค่ายิ่งช่วยให้เรารู้จุดบอดที่เรามองไม่เห็นจุดอ่อนของตัวเอง เนื่องจากเป็นธรรมชาติมนุษย์ที่มักเข้าข้างตนเอง
หากผู้ให้และผู้รับคำแนะนำป้อนกลับมีความสนิทสนมกัน การให้คำแนะนำป้อนกลับอาจทำยาก หรือบางครั้งอาจมีผลร้ายต่อความสัมพันธ์
การรับรู้และได้รับประโยชน์ (หรือโทษ) จากคำแนะนำป้อนกลับขึ้นกับอารมณ์ คนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์สูงจะได้รับประโยชน์มากกว่า ดังเราจะเห็นว่า เมื่อได้รับคำแนะนำป้อนกลับ คนบางคนจะตอบโต้ เพื่อปกป้องตัวตนของตนเอง แทนที่จะรับเป็นข้อมูลนำมาไตร่ตรองหาทางปรับปรุงพัฒนาตนเอง เรื่องนี้ฝรั่งเขาทำวิจัยลงลึกเข้าไปถึงการทำงานของสมอง และชี้ให้เห็นว่า คนที่สมองซีกขวาทำงานเด่น จะฟื้นจากคำแนะนำป้อนกลับเชิงลบได้ช้ากว่า
ประเด็นสำคัญที่สุดในสายตาของผม ต่อการได้รับประโยชน์ทั้งจากคำแนะนำป้อนกลับเชิงบวกและเชิงลบคือ “กระบวนทัศน์พัฒนา” (growth mindset) คนที่มี กระบวนทัศน์พัฒนา จะมองคำแนะนำป้อนกลับเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวเอง ไม่มองเป็นการดูถูกหรือลดทอนอัตตา ส่วนคนที่มี “กระบวนทัศน์หยุดนิ่ง” (fixed mindset) มีแนวโน้มจะตีความคำแนะนำป้อนกลับเป็นตัวเสริมหรือลดทอนศักดิ์ศรีแห่งตัวตนของตนเอง
คำแนะนำป้อนกลับคือ “กระจกส่อง” ที่ช่วยให้เรามองเห็นตัวเอง จากมุมที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ยิ่งเป็นมุมลี้ลับ รู้แล้วเจ็บปวด ยิ่งเป็นข้อมูลที่ให้คุณ ต่อการหาทางปรับปรุงแก้ไขพัฒนาตนเอง
การเรียนรู้ที่ต้องการคำแนะนำป้อนกลับที่ดี และการตอบสนองที่ดีต่อคำแนะนำป้อนกลับนั้น
ผมขอเพิ่มเติมความเห็นของตนเองว่า การทำคนเราทำกิจกรรมใดๆ แล้วทำ reflection กับตนเอง เป็นรูปแบบหนึ่งของการให้คำแนะนำป้อนกลับแก่ตนเอง (auto-feedback) และหากทีมงานที่ทำงานด้วยกันทำ AAR เป็นระยะๆ นั่นคือการให้คำแนะนำป้อนกลับแก่กันและกันในทีมงานอย่างอ้อมๆ ก่อประโยชน์แก่การพัฒนาการทำงานอย่างมากมาย และเป็นการจัดการความรู้
วิจารณ์ พานิช
๓ มี.ค. ๖๑
I have practiced 'positive commenting' for some years. On reflection, I found that 'I look like a bully/troll". My alternate conclusions: a) I am not yet skilful enough to do positive criticism - more skills are needed; b) Positive criticism need positive perception - cultural attitude change is needed.
I have practiced 'positive commenting' for some years. On reflection, I found that 'I look like a bully/troll". My alternate conclusions: a) I am not yet skilful enough to do positive criticism - more skills are needed; b) Positive criticism need positive perception - cultural attitude change is needed.
ขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์
เดี๋ยวจะไปส่องคันฉ่องก่อนนะคะ