สัมมนาเครือข่ายโครงการเยาวชน รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล
การประชุมนี้จัดต่อจากการประชุมเมื่อวานนี้ ดังเล่าในบันทึกที่แล้ว จัดที่คณะแพทยศาสตร์ มช. วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ วันแห่งความรัก ดำเนินรายการช่วงนำเสนอโครงการของผู้ได้รับพระราชทานทุนรุ่น ๙ โดย ศ. นพ. อภิชาติ อัศวมงคลกุล และดำเนินรายการช่วง lifetime mentoring & networking โดย ศ. นพ. สุรเดช หงส์อิง
ผู้ได้รับพระราชทานทุนรุ่น ๙ กำลังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ และเตรียมความพร้อมในการออกไปเผชิญชีวิตในต่างแดน ๑ ปี โดยจะออกเดินทางปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า แล้วแต่มหาวิทยาลัย คือรับปริญญาก่อน แล้วจึงออกเดินทาง รุ่นนี้ไปอเมริกา ๔ คน สวีเดน ๑ คน มีคนไปฝึกเรื่องที่อยู่ในขอบฟ้าใหม่ ๓ คน เป็นเรื่อง gut microbiota ๒ คน (เรื่องวิตามินดี กับเรื่อง evidence-based disease prevention) และเรื่อง epigenetics ๑ คน (เรื่องความอยากสุรา)
ที่จริงเรื่องที่ผู้รับพระราชทานทุน (เราเรียกกันติดปากว่า PMA YS (Prince Mahidol Award Youth Scholar) จะไปศึกษาหรือฝึก เป็นเรื่องใหม่ๆ น่าสนใจทั้งสิ้น ดังเรื่องการกินวิตามินดีเสริมกับจุลินทรีย์ในลำใส้ เป็นเรื่องที่มีต้นตอมาจากการพบว่า มนุษย์สมัยนี้ขาดวิตามินดีอย่างน้อยหนึ่งในสามของประชากร เพราะวิถีชีวิตทำให้ถูกแดดน้อย ร่างกายสร้างวิตามินดีเองไม่เพียงพอ จึงต้องกินวิตามินดีเป็นอาหารเสริม แต่ก็ไม่ได้ผลตรงไปตรงมา ผมไม่เคยคิดเลยว่า คนไทยจะขาดวิตามินดี มากขนาดนี้ เพราะเรามีแดดมาก
PMA YS ภีม สาระสมบัติ จาก มช. ได้รับการอภิปรายมากเป็นพิเศษ เพราะในทางวิชาชีพต้องการเป็นหมอผ่าตัดกระดูก แต่ไปเพิ่มพูนประสบการณ์ด้านการดูแลผู้สูงอายุ ด้วยเทคโนโลยี ไอที ที่พัฒนาโดย Project ECHO (๑) ซึ่งเป็นกิจกรรมของแพทย์ครอบครัว ผู้ใหญ่ที่อยู่ในวงประชุมบอกว่าสิ่งที่จะไปฝึก ๑ ปี กับสิ่งที่จะฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทางขัดกัน แต่ก็มีคนบอกว่าดีแล้ว เราควรมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีความสนใจกว้างด้วย เพราะวิชาการทางลึกและทางกว้างมันส่งเสริมกัน ผมมีความเชื่ออยู่ในกลุ่มหลัง
PMA YS สุชานันท์ กาญจนพงศ์ จากศิริราช ไปฝึกเรื่อง ภาวะหลงลืม (dementia) พัฒนาเครื่องมือวินิจฉัย dementia ทาง อินเทอร์เน็ต และเก็บข้อมูลไว้ในระบบไอที คนนี้สบายมาก เพราะสนใจเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ และทางศิริราชก็ตะครุบตัวไว้เป็นอาจารย์ในภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
บรรยากาศในที่ประชุมมีลักษณะ “group mentoring” ที่ PMA YS รุ่น ๙ ทั้ง ๕ คน และรุ่นก่อนๆ อีกห้าคน และมีนักศึกษาแพทย์จาก มช. และ มฟล. มานั่งฟังแห่งละสี่ห้าคน เป็นคนที่สนใจจะสมัครรุ่นต่อๆ ไป นศพ. บอกว่า ฟังแล้วได้แรงบันดาลใจ
แต่พวกเราที่เป็นกรรมการอำนวยการบ้าง กรรมการดำเนินการบ้าง ของโครงการ ฟังแล้วได้งาน คือจะต้องมีการปรับระบบงานของการจัดการ lifetime mentoring & networking รองรับกจกรรมที่จะต้องจัดเพิ่มขึ้น และจะยึดหลัก “inclusivity” คือไม่ใช่จัดเฉพาะกลุ่ม PMA YS เท่านั้น คนรุ่นใหม่ที่มีแรงบันดาลใจ และทำเรื่องสำคัญๆ ต่อระบบสุขภาพ จะได้รับเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมด้วย
ผมบอกที่ประชุมว่า หลักการสำคัญของ lifetime mentoring คือ ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่าง mentor กับ mentee จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโต หรือวุฒิภาวะทางวิชาการของ mentee คือเริ่มจากอาจารย์-ศิษย์ แต่จะต้องลงท้ายด้วยการเป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพหรือวิชาการ หรือเพื่อนร่วมงาน (peers) เพราะในการตีความของผม โครงการเยาวชน รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ต้องการสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง (change agent) ด้านสุขภาพ ให้แก่สังคมไทยและแก่โลก ตามรอยพระบาท สมเด็จพระบรมราชชนก แห่ง ร. ๙
วิจารณ์ พานิช
๑๕ ก.พ. ๖๑
1 รูปหมู่หน้ารูปปั้นหลวงปู่แหวน ที่ชั้น ๑๕ อาคารสุจินโณ
2 บรรยากาศในห้องประชุม
3 คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศ. นพ. บรรณกิจ โลจนาภิวัจน์ มานั่งเป็นประธานตลอดการประชุมครึ่งวัน
ไม่มีความเห็น