ก่อนเริ่มงานวันนี้ (วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2560) ผมหารือกับทีมงานเกี่ยวกับกระบวนการปรับความคาดหวังก่อน หรือกระทั่งปรับกระบวนการเพื่อนำเข้าสู่การอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการคุณธรรมจริยธรรมเฉลิมพระเกียรติ ระดับอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปีการศึกษา 2560
การปรับกระบวนการที่ว่านั้น เป็นเสมือนการเตรียมความพร้อมก่อนมอบเวทีให้วิทยากรหลัก (พระอาจารย์มหาพงษ์นรินทร์ ฐิตว.โส และพระอาจารย์วชิระ สุปภาโส) มารับช่วงขับเคลื่อนต่ออย่างเต็มรูปแบบ
ปรับกระบวนการ : มองปัญหาตัวเองและสิ่งรอบตัว
การปรับกระบวนการที่ว่านั้น เดิมจะมีเพียงการเปิดวีดีทัศน์เสริมสร้างบรรยากาศและการสอบถามความคาดหวัง (BAR) เหมือนเช่นทุกครั้งที่เคยนิยมปฏิบัติสืบมาแทบทุกเวที หากแต่คราวนี้ผมเพิ่มกระบวนการเข้าไปอีกหนึ่งกระบวนการ นั่นคือ การถามทักนิสิตใน 2 ประเด็น คือ
กระบวนการที่ว่านั้นเป็นการตั้งคำถามกว้างๆ เพื่อมิให้บีบรัดความรู้สึก หรือจำกัดพื้นที่ทางความคิดของนิสิตมากนัก เป็นการถามทักที่เน้นให้นิสิตได้ “ทบทวนตัวเองผ่านประเด็นปัญหาใกล้ตัว” และขีดเขียนผ่าน “บัตรคำ”
เอาจริงๆ เลยนะ ผมมีเหตุผลของผม กล่าวคือ ผมได้ซ่อนแนวคิดไว้เงียบๆ ว่า นี่คืออีกหนึ่งขั้นตอนของการทำงานโครงการคุณธรรมจริยธรรมฯ อันหมายถึงการพัฒนาตนเองและสังคมรอบตัว หรือการมีจิตสำนึกที่ดีต่อการรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ซึ่งประเด็นที่ถามนั้นคือ “โจทย์” ของการทำงานโครงการคุณธรรมจริยธรรมฯ ดีๆ นั่นเอง
หรือในอีกมุมหนึ่งก็คือการฝึกให้นิสิตได้ใช้กระบวนการปรัชญาของ “อริยสัจ 4” (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เข้ามาหนุนเสริมการพัฒนานิสิต เพื่อให้มีทักษะในการสำรวจปัญหา (ทุกข์) หรือการคิดวิเคราะห์ สาเหตุของปัญหา (สมุทัย)
สองประเด็น หรือสองคำถามข้างต้น ผมเจตนาที่จะยังไม่ทะลุไปถึงกระบวนการขบคิดเพื่อกำหนดเป้าหมาย (นิโรธ) และการกำหนดรูปแบบวิธีการเพื่อลงมือปฏิบัติการสู่การแก้ปัญหา/พัฒนา (มรรค) เพราะกระบวนการที่ว่านี้ เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อย โดยไม่ลืมที่จะบอกย้ำกับนิสิตว่า “เราจะแก้ปัญหาได้ หรือพัฒนาได้ ทุกอย่างควรต้องเริ่มจากการมองให้เห็นปัญหาและสาเหตุของปัญหา เพื่อที่จะคลี่คลายให้ถูกจุด เสมือนการ ‘เกาให้ถูกที่คัน’ นั่นเอง”
ภาพสะท้อน : ปัญหาตัวเองและสิ่งรอบตัว
ผมไม่ได้ชี้นำนิสิตว่าปัญหาที่แต่ละคนได้สะท้อนมานั้นต้องถูกนำมาเป็น “โจทย์” หรือ “ประเด็น” ของการขับเคลื่อนโครงการคุณธรรมจริยธรรมฯ ในครั้งนี้ เพราะเป็นเพียงกระบวนการขั้นต้นในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การอบรมเชิงปฏิบัติการเท่านั้น
และที่สำคัญคือ นิสิตยังต้องหารือเพื่อนร่วมทีม หรือแม้แต่ที่ปรึกษาเสียก่อนว่าโจทย์หรือประเด็นที่ “อยากจะทำ” เหมาะสมภายใต้บริบทของตนเองหรือไม่ หรือสัมพันธ์กับหมุดหมายของการเรียนรู้อย่างไร –
แต่ที่แน่ๆ เมื่อนำข้อมูลที่นิสิตสะท้อนมาจัดหมวดหมู่ก็พบประเด็นบนปรากฏการณ์จริงในหลายๆ เรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ เป็นต้นว่า
ครับ – นี่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นโดยสังเขปที่ผมและทีมงานปรับกระบวนการขึ้นมาโดยมิได้นัดหมายกันล่วงหน้า เป็นการปรับเพราะประเมินสถานการณ์ให้เหมาะสม หรือเกื้อหนุนต่อกระบวนการเรียนรู้ที่กำลังจะมีขึ้น
คงต้อง “ใจเย็น” กันอีกสักนิด เพราะต้องมารอลุ้นกันว่า เมื่อถึงวาระต้อง “พัฒนาโจทย์” หรือ “ขึ้นโครงการ” ในระบบทีมของนิสิต ประเด็นเหล่านี้ จะถูกนำมาใช้จริงทำจริงกันหรือไม่ ....
ใช่ครับ --- ต้องมารอดู รอลุ้นกันอีกที เพราะการทำงานครั้งนี้ ต้องเกิดจากแรงขับเคลื่อนจากภายในตัวตนของนิสิต ผมและทีมงานจะไม่กำหนด หรือสั่งการว่าเรื่องนี้-ประเด็นนี้ควรทำ หรือไม่ควรทำ ตรงกันข้ามนิสิตต้อง "คิดเอง เลือกเอง และลงมือทำเอง" ผมและทีมงาน รวมถึงผู้บริหารและที่ปรึกษาจะสวมบทบาทเป็น “โค้ช” คอยทำหน้าที่หนุนเสริมอยู่ใกล้ๆ ...
ส่วนประเด็น BAR ไว้มีเวลาจะนำมาบอกเล่าในรอบถัดไป
บางทีคงบอกเล่าพร้อมๆ กับผลของการ AAR โน่นเลย (นะครับ)
มาตื่นเต้น ต่อ การตอบโจทย์ ของนักศึกษาและเหล่าคณาจารย์ เจ้าค่ะ...
โจทย์เหล่านี้ทีเห็น..หากมีการกระทำ..ฝึกหัดปฏิบัติ..กันอย่างชัดเจน...เราคงไม่น้อยหน้า ประเทศญี่ปุ่น แน่ๆ..
คิดเอง ลงมือทำเอง ... ช้า ๆ แต่จะยืนยงนะคะ ^_,^
I see this as entering the water to cross the river. The journey must start with a step and follow another step. Success depends on focusing, persevering and (right) faith.
Good to see āryan way in use again.
ดีมากครับ เป็นกระบวนการที่สอนให้คิดเป็น
อริยสัจ 4 พระพุทธเจ้าทรงสอนถึงกระบวนการ การวิเคราะห์และการคิดหาหนทางแก้ปัญหา
เป็นพระปรีชาญาณที่สอนสืบทอดกันมาหลายพันปีแล้ว
ที่สำคัญ คือการมองปัญหาที่ตัวเองก่อน แก้ที่นี่ก่อนเลย
คนเรามีนิสัยมองออกนอกตัว จะโทษคนอื่นไปเรื่อย จนลืมมองตัวเองว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วยหรือไม่
3 ประเด็นนี้เป็นทุกที่เลยครับ