ทาโร อาโสะ รองนายกรมต. และรมต.คลังญี่ปุ่น เขียนเรื่องบทบาทรมต.คลัง ในการทำให้ประเทศมีหลักประกันสุขภาพ (Universal Health Coverage UHC) ได้สำเร็จ และมีความยั่งยืน ลงในวารสาร Lancet เมื่อ 2 ธค.2560
www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(17)33077-5/fulltext
อาโสะให้ข้อแนะนำ 4 ประการ
1)ญี่ปุ่นมีระบบประกันสุขภาพ ตั้งแต่ปี1920 เริ่มจากระบบประกันสังคมของบริษัทและข้าราชการ เสริมด้วย
ระบบประกันสุขภาพชุมชน (Community-based Health Insurance) พัฒนาโดยลำดับ จนสามารถครอบคลุมประชากรทุกคนในปี 1961
การมีระบบประกันสุขภาพ ทำให้สังคมมีความมั่นคง เศรษฐกิจก้าวหน้า มีการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม มีสัดส่วนคนชั้นกลางเพิ่มขึ้น
ญี่ปุ่นใช้วิธีกำหนดเพดานงบประมาณด้านสุขภาพ (Global Budget) และระบบการจ่ายเงินแบบ Fee-for-service แต่มีการนำเอาข้อมูลราคา (Price)และจำนวนการให้บริการ (Volume) มาทบทวนอย่างเข้มข้น กำหนดเป็นราคากลาง Fee Schedule ของบริการแต่ละประเภท เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ การวางกฎระเบียบ และการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ช่วยปรับความคาดหวังของผู้ให้/ผู้รับบริการ มั่นใจว่าผลการบริการและเงินรายรับ มีประสิทธิภาพและสมเหตุสมผล
2)การวางแผนใช้แหล่งเงินในประเทศ เพื่อประกันสุขภาพ แต่ละประเทศมีแหล่งเงิน 3 แหล่ง คือภาษี เบี้ยประกันและการร่วมจ่าย
ระบบประกันสุขภาพของญี่ปุ่นอาศัยเบี้ยประกันเป็นหลัก เงินภาษีเป็นส่วนเสริม ระบบประกันมีการตรวจสอบ และจูงใจให้รักษาวินัย ในการใช้จ่าย และพิทักษ์สิทธิ์ในการรับบริการ
มีการร่วมจ่าย เพื่อป้องกันการใช้เกินความจำเป็น Moral hazard
และใช้กลไกการเก็บภาษีการบริโภค VAT มาใช้เพื่อความมั่นคงด้านสังคม เมื่อมีปริมาณผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมาก
3)แหล่งเงินสำหรับประเทศยากจน หรือรายได้ปานกลาง อาจใช้เงินกู้ หรือเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ การจัดประกันสุขภาพ เป็นการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญด้านหนึ่ง
4)การวางแผนเพื่อสังคมผู้สูงอายุ ญี่ปุ่นเพิ่มภาษี VAT เพื่อนำเงินไปเสริมเรื่องการดูแลเด็ก การลดเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพิ่มเงินให้ระบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง (Long-term care) มีความเข้มแข็ง
ประเทศไทยใช้เงินภาษีเป็นหลักในการจัดระบบประกันสุขภาพ ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพได้มากขึ้น ประชาชนมีสุขภาพโดยรวมดีขึ้น แต่ระบบทำท่าจะไม่ยั่งยืน เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากประชากรมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และมียา/เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีราคาสูง ทำให้ต้องมาทบทวนระบบการคลังสุขภาพ ว่าจะหาแหล่งเงินจากที่ใดมาเพิ่มเติม
การร่วมจ่ายเป็นประเด็นที่พูดกันมาก ที่เหมาะสมคงเป็นการร่วมจ่ายก่อนป่วย คือให้มีการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ เช่นเดียวกับระบบประกันสังคม
การจัดให้มีระบบประกันสุขภาพชุมชน แบบญี่ปุ่น มีการจ่ายเบี้ยประกัน เป็นช่องทางเพิ่มงบประมาณเพื่อจัดบริการสุขภาพ
การเพิ่มภาษี VATอีก 1-3% ใครซื้อของเพื่อบริโภค ภาษีVAT ส่วนที่เพิ่มจะถูกผลักเข้าบัญชีเงินออมเพื่อสุขภาพของตน และเข้าบัญชีงบประมาณสุขภาพระดับท้องถิ่น อำเภอ/ตำบล/จังหวัด
ทั้งนี้เทคโนโลยีการเงินสมัยใหม่ FinTech จะช่วยควบคุมให้เงินที่เข้าบัญชี นำไปใช้จ่ายเฉพาะด้านสุขภาพที่จำเป็น
***ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
เล่าเรื่องปฏิรูประบบสุขภาพ ในสหรัฐอเมริกา (1)
https://www.gotoknow.org/posts/600097
เล่าเรื่องปฏิรูประบบสุขภาพ ในสหรัฐอเมริกา (2)
https://www.gotoknow.org/posts/600099
บันทึกชีวประวัติของ ลีกวนยิว เกี่ยวกับระบบบริการสุขภาพของสิงคโปร์
https://www.gotoknow.org/posts/599194
บทบาทรมต.คลัง ในการทำให้ประเทศมีหลักประกันสุขภาพ ได้สำเร็จ และมีความยั่งยืน
https://www.gotoknow.org/posts/643066
ขอบคณสำหรับความรู้ครับ...น่าสนใจมากๆ