หนังสือ Focus : The Hidden Driver of Excellence (2013) เขียนโดย Daniel Golemen ผู้เขียนหนังสือขายดีอันดับหนึ่ง Emotional Intelligence
หนังสือสมาธิจดจ่อ แนะนำทั้งให้จดจ่อความคิด และฟุ่งซ่านความคิด ให้รู้จักใช้จิตสองขั้วเป็น หรือให้จดจ่อสองแบบเป็น จดจ่อแบบที่คนรู้จักกันทั่วไปคือจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จดจ่อนาน ฟันฝ่าความยากลำบากเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนด
แต่เขาแนะนำการจดจ่ออีกแบบหนึ่ง คือจดจ่ออยู่กับการเปิดใจให้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เข้ามา เขาเรียกสมาธิแบบนี้ว่า open awareness หรือ mind-wandering ซึ่งผมคิดว่าผมฝึกตัวเองมาพอสมควร และคิดว่าในอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า intuition - คิดแบบไม่คิด คนเราต้องรู้จักเพ่งจิตใจให้คิดแบบไม่คิด ... ปัญญาญาณ
เขายังแนะนำใจจดจ่อสองขั้วอีกแนวหนึ่ง จดจ่อกับภายในตนเอง กับจดจ่อต่อโลกภายนอก
จดจ่อภายในตนเอง จนเกิดพลังใจ (willpower) เขาแนะนำว่า พลังใจจะเกิดเมื่อคนเราเห็นคุณค่าของ สิ่งที่ทำ และทำแล้วสนุกหรือมีความสุข ตรงนี้ผมอ่านแล้วเกิดความคิดว่า นี่คือส่วน 2/3 ของการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน คือส่วนที่เกิดจากการเรียนโดยตนเองเป็นผู้เลือกหรือเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่มีครูหรือผู้อื่นกำหนดให้ คำว่า 1/3 และ 2/3 หมายถึงสัดส่วนอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ที่มีผลการวิจัยจำนวนมากให้ผลตรงกันว่า โรงเรียนมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กเพียง 1/3 อีก 2/3 ได้จากการเรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งในกิจกรรมพิเศษในโรงเรียนที่เด็กเลือกเข้ากิจกรรมเอง กิจกรรมที่บ้าน และในชุมชน รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางสังคมต่างๆ และสื่อมวลชน และสื่อสังคม
จดจ่อภายในตนเองต่อการสร้างจิตใจ ที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น (empathy) . ในระดับรับรู้ความรู้สึกของเขา (cognitive empathy) โดยไม่รับความทุกข์ของผู้อื่นมาเป็นความทุกข์ของตน (emotional empathy)
จดจ่อต่อโลกภายนอกที่สำคัญยิ่งเพื่อการรับรู้ภาพใหญ่ภาพอนาคต ที่จะเป็นทั้งความท้าทาย และเป็นโอกาสในชีวิต
ในฐานะผู้บริหารหรือหัวหน้า ต้องสามารถชักชวนผู้ร่วมงานให้โฟกัสหรือจดจ่ออยู่กับเป้าหมายของงาน และคอยช่วยเหลือผู้ร่วมงานให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่ของเขาตามเป้าหมายใหญ่ของหน่วยงานหรือองค์กร
เครื่องมือสำคัญของการมีสมาธิจดจ่อ คือการฝึกสมาธิ และการคิดเชิงบวก
วิจารณ์ พานิช
๒๒ ต.ค. ๖๐
ขอบคุณอาจารย์มากนะครับ
เรียน อาจารย์วิจารณ์ ที่เคารพ
เมื่อได้อ่านบันทึกนี้ของอาจารย์ แล้วมาคิดทบทวนการทำงานของตัวเองดูก็พบว่างานหลายๆ งานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์สูงๆ จิตจะใช้ภาวะ open awareness หรือ mind - wandering ในการคิดโดยอัติโนมัติเลยค่ะ
กระบวนการที่เกิดขึ้นทุกครั้งเริ่มจากการรับโจทย์ รับเงื่อนไขเอาไว้ในความคิด โดยไม่คิดอะไร และผลงานการคิดในขณะที่ร่างกายกำลังอยู่ในภาวะดังกล่าวก็ส่วนมากจะผุดบังเกิดขึ้นมาเอง ส่วนมากจะอยู่ในราวย่ำรุ่ง ที่สมองทำงานจัดเรียงข้อมูลพร้อมทั้งนำเสนอทางออกดีๆ มาให้เป็นที่เรียบร้อย
น่าจะเป็นอย่างที่คนโบราณมักใช้คำเรียกขานว่า "เทวดาบอก" ละมังคะ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะหลากหลายค่ะ ตั้งแต่การทำงานศิลปะ การคิดรูปแบบหนังสือ หรือแผนการเรียนรู้ก็มีค่ะ... จนตอนนี้น้องๆ ที่โรงเรียนเริ่มชินกับการไลน์ไปบอกไอเดียที่คิดได้ในตอนตี ๓ ตี ๔ เรื่อยไปจนถึงเช้า แล้วล่ะค่ะ ส่วนผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นมักจะอยู่ในขั้นดี ถึงดีมาก ค่ะ
ด้วยความเคารพ
ครูใหม่